“เราเคารพต่อคำตัดสิน เคารพต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศของเรา แน่นอนที่สุดในส่วนตัวของผมมีความรู้สึกว่าคณะผู้พิพากษาท่านยอมรับในอำนาจของกระบวนการรัฐประหาร ที่มีมาแต่ 19 ก.ย.2549 พวกเราคงจำกันได้เมื่อปี 2535 หลัง รสช.ยึดอำนาจ มี คตส.คือ พล.อ.สิทธิ จิรโรจน์ เป็นประธาน พวกเราคงจำกันได้ว่ากระบวนการการตัดสินหรือท่านผู้พิพากษาตัดสินยกฟ้อง เพราะไม่ยอมรับในกระบวนการรัฐประหารในยุคนั้น ก็ไม่เป็นไร เป็นสิ่งที่ศาลต้องกระทำอย่างนั้น เราเข้าใจ
ผมมีความรู้สึกว่าอีกหลายๆ เรื่องกำลังจะเกิดขึ้น ขอเพียงว่าพี่น้องคนไทยทุกคนเราอยากเห็นความบริสุทธิ์ยุติธรรม วันนี้มีสิ่งหนึ่งที่อยู่ภายในใจของคนไทยทุกคนแล้วก็ยังตอบกันไม่ได้ ที่ว่ามีคนบางคนหรือใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังและชักใยทำให้สถานการณ์ในบ้านเมืองของเราเลวร้ายเหมือนอย่างทุกวันนี้ ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าคือใครและกำลังทำอะไรอยู่ แต่สิ่งที่พี่น้องคนไทยมีความรู้สึกชัดเจนก็คือว่า ความยุติธรรมในสังคมกำลังหมดไป เราพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสองลักษณะที่แตกต่างกัน หรือที่เราเรียกว่าสองมาตรฐาน และสิ่งนี้ทุกคนยอมรับว่าเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมของเรา ซึ่งเป็นสังคมแห่งความไม่ยุติธรรมมานานแล้ว 78 ปีที่เราเฝ้ารอสิ่งเหล่านี้อยู่ เพราะฉะนั้นอำนาจเป็นของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
ท่านที่เคารพคงจะเข้าใจว่าวันนี้เราพูดกันถึงอำนาจเผด็จการกันอยู่ตลอดเวลา และทุกคนก็มุ่งหวังที่อยากจะให้อำนาจเป็นของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง จุดยืนของพรรค (เพื่อไทย) ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงเราสนับสนุนสันติวิธีและปฏิเสธความรุนแรงทุกวิถีทาง เราขอร้องทุกภาคส่วนในสังคมของเรา แน่นอนที่สุดวันนี้หลายๆ กระบวนการไม่ได้เกิดจากพรรคเพื่อไทยหรือขบวนการเสื้อแดงเท่านั้น หลายขบวนการกำลังก่อตัวขึ้นและกำลังเคลื่อนไหวกันอย่างมากเพราะว่าระดับสองมาตรฐานขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว...”
…………………………
ใครที่พยายามพูดว่า “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ของผมพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องผมต้องขอความเป็นธรรมให้ท่านหน่อย เพราะหากลองอ่านคำแถลงข่าวเมื่อ 27 ก.พ. 2553 (หลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทเพียงวันเดียว) ข้างต้นแล้วก็ไม่มีอะไรที่ไม่ชัดเจนหรือต้องตีความ เพราะท่านบิ๊กจิ๋วของผมประกาศชักธงรบกับ “อำมาตย์” อย่างสุดตัว โดยพรรคเพื่อไทยของท่านจะสู้อย่างสันติ แต่พูดเป็นนัยๆ ว่าตอนนี้หลายขบวนการกำลังเกิดขึ้น คงรับประกันได้ยากว่าทุกกลุ่มจะเดินแนวทางสันติเหมือนกันหมด (มันอาจจะมีเสียงตูมตาม เสียงบึ้มเกิดขึ้นก็ได้...)
หลังการแถลงข่าวเพียงครึ่งค่อนวัน คืนวันที่ 27 ก.พ.ก็เกิดเหตุระเบิด 4 จุด หลายฝ่ายชี้ว่าเป็นผลพวงโยงใยมาจากคดียึดทรัพย์คดีที่ “บิ๊กจิ๋ว” บอกว่าทำให้ระดับสองมาตรฐานขึ้นสู่จุดสูงสุด...
ถึงวันนี้หลายคนที่พยายามมอง พล.อ.ชวลิตให้ทะลุลอดแต่ก็ไม่กล้าฟันธงว่า ปรากฏการณ์ที่ พล.อ.ชวลิต ย่างสามขุมไปซบตักพรรคเพื่อไทย รับบทเป็น ประธานพรรค และเดินเกมจับมือกับฮุนเซนเพื่อทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งบทบาทต่างๆ กระทั่งทุกวันนี้นั้น เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องลับลวงพรางกันแน่...แต่น่าเชื่อว่าหลายฝ่ายคงจะฟันธงไปแล้วว่าพล.อ.ชวลิตเป็นเช่นนั้นจริงๆ
นั่นคือ...ศิโรราบ รับใช้ทักษิณ โดยที่อาจจะมีผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการให้โอกาสขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองหากว่ามีเงื่อนไขที่เป็นไปได้...
ร่วมๆ สองเดือนมาแล้วผมเคยถามท่าน น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่เคยร่วมงานและรู้จักกับ พล.อ.ชวลิต ดีว่า การที่ พล.อ.ชวลิตไปร่วมมือกับทักษิณอีกหนนั้นเป็นเรื่องลับลวงพราง เป้าหมายลึกๆ ทำเพื่อชาติหรือไม่? น.ต.ประสงค์ตอบผ่านรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ASTV ด้วยเสียงดังๆ ว่า คุณสำราญหรือใครจะเชื่อก็เชื่อไป แต่ท่านไม่ขอเชื่อด้วยอย่างเด็ดขาด...
ที่น่าสนใจมากก็คือกรณีคุณพี่ ไพศาล พืชมงคล หรือ “สิริอัญญา” นักเขียนบทความดีเด่น ซึ่งเคยร่วมงาน เป็นมันสมองสำคัญให้กับ พล.อ.ชวลิตมาเป็นเวลายาวนานได้ตอบคำถามประเด็นนี้ผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว paisalvision.com ไว้ตั้งแต่ 22 ต.ค.2552 ว่า อีกไม่นานจะได้รู้กันว่า “บิ๊กจิ๋ว” จะเล่นบท “ออกญาจักรี” หรือ “อุยกาย”
ออกญาจักรี - ทำตัวเป็นไส้ศึกพม่าจนเสียกรุง
“อุยกาย” - ตัวละครในสามก๊ก ตอนสงครามเซ็กเพ็ก อุยกายปฏิบัติการลับลวงพรางแสร้งทะเลาะกับจิวยี่ยอมเจ็บตัวถูกเฆี่ยนโบยตีเพื่อไปหลอกลวงขอสวามิภักดิ์โจโฉ จนเผากองเรือโจโผ ชนะศึกใหญ่
วันนี้ไม่ทราบว่าคุณพี่ไพศาลท่านฟันธงได้หรือยังว่า “บิ๊กจิ๋ว” ของผมเป็นพระยาจักรีหรืออุยกาย หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แท้จริงแล้วแค่หางานทำแก้เซ็งหาเงินก้อนไว้ใช้ตอนแก่ เพราะวันนี้ลูกน้องและลูกๆ หลานๆ ยังไปรบกวนท่านไม่ขาดสาย...และที่สำคัญคงเผื่อฟลุ๊กว่าส้มอาจหล่นใส่เท้าเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ
ผมเองนั้นแม้พยายามมอง “บิ๊กจิ๋ว” ในแง่ดีและเข้าใจเพียงใดก็ตาม แต่ด้วยประจักษ์พยานแห่งพฤติการณ์ในรอบ 5-6 เดือนที่ผ่านมาไม่อาจทำให้ผมเชื่อว่าบิ๊กจิ๋วจะยอมเล่นบทอุยกายหรือลับลวงพรางได้อีก เพราะสิ่งที่ท่านทำลงไปเป็นการซ้ำเติมทำให้บ้านเมืองบอบช้ำอย่างแสนสาหัส ผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า “บิ๊กจิ๋ว” น่าจะแสวงหาโอกาสให้กับตัวเองเป็นวาระสุดท้าย โอกาสทั้งด้านเงินทองและตำแหน่งแห่งหนที่จะรับใช้ชาติอีกครั้งหนึ่ง...
ทั้งๆ ที่หาก พล.อ.ชวลิตรักบ้านรักเมืองหรืออยากรับใช้ชาติในบั้นปลายชีวิตจริง น่าจะมีทางเลือก ทางปฏิบัติที่งดงามกว่าทางเลือกนี้ ไม่จำเป็นต้องกระเสือกกระสนทุรนทุรายไปรับใช้นักโทษชายที่ทำร้ายบ้านเมือง....แค่อยู่กับบ้านเฉยๆ แล้วพูดจาให้สติกับทุกฝ่าย ให้ยึดแนวทางสันติ เคารพกฎหมาย เห็นแก่ชาติ เห็นแก่สถาบันสำคัญของชาติก็เป็นบุญเป็นคุณกับบ้านเมืองยิ่งนักแล้ว…
ทุกท่านคงยังจำได้ดีว่า ก่อนไปซบพรรคเพื่อไทย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ในฐานะอดีตผู้บังคับบัญชาหรือเจ้านายของ พล.อ.ชวลิต เคยฝากคนไปเตือนว่าขอให้ไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการทรยศชาติ...
ถึงวันนี้ คำเตือนและความห่วงใยของ พล.อ.เปรมคงกลายเป็นอดีตที่ไม่น่าจะมีคุณค่าในความรู้สึกของ “บิ๊กจิ๋ว” แต่ประการใดก็ได้ เพราะทุกอย่างมันไปไกลไปมากแล้ว วันนี้ “บิ๊กจิ๋ว” ชูธงคำว่า “สองมาตรฐาน” วาทกรรมคำขวัญการต่อสู้ล้มอำมาตย์ของคนเสื้อแดงอย่างเต็มปากเต็มคำ...ซึ่งผมไม่เชื่อว่าส่วนลึกของหัวใจ “บิ๊กจิ๋ว” จะคิดเช่นนั้นจริงๆ และผมก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าระดับบิ๊กจิ๋วมีจะไม่รู้ว่า เหตุที่ รสช.ปล่อยผีคดียึดทรัพย์เมื่อปี 2535 นั้นมันมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร ใครได้ประโยชน์ และต่างจากกรณี คตส. 2553 อย่างไร...
ผมเสียดายที่ “บิ๊กจิ๋ว” ของผมไปไกลมากแล้ว จากอดีตสมัยรับราชการเป็นนายทหารเหล่าสื่อสารที่เก่งฉกาจ ขนาดมีไขควงตัวเดียวอันเดียว “บิ๊กจิ๋ว” ก็สามารถซ่อมโทรทัศน์ได้เป็นสิบเครื่องร้อยเครื่อง แต่วันนี้ปัญหาประเทศไทยไม่ใช่แค่โทรทัศน์เสีย และ “บิ๊กจิ๋ว” ก็ไม่ใช่ “บิ๊กจิ๋ว” คนเดิมที่หลายคนเคยรักและรู้จักอีกต่อไปแล้ว..??
ว่างๆ ใช้ไขควงซ่อมหัวใจตัวเองหน่อยก็ดีนะครับท่าน “บิ๊กจิ๋ว”...เผื่อว่ามันยังพอซ่อมได้.
ผมมีความรู้สึกว่าอีกหลายๆ เรื่องกำลังจะเกิดขึ้น ขอเพียงว่าพี่น้องคนไทยทุกคนเราอยากเห็นความบริสุทธิ์ยุติธรรม วันนี้มีสิ่งหนึ่งที่อยู่ภายในใจของคนไทยทุกคนแล้วก็ยังตอบกันไม่ได้ ที่ว่ามีคนบางคนหรือใครบางคนที่อยู่เบื้องหลังและชักใยทำให้สถานการณ์ในบ้านเมืองของเราเลวร้ายเหมือนอย่างทุกวันนี้ ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าคือใครและกำลังทำอะไรอยู่ แต่สิ่งที่พี่น้องคนไทยมีความรู้สึกชัดเจนก็คือว่า ความยุติธรรมในสังคมกำลังหมดไป เราพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสองลักษณะที่แตกต่างกัน หรือที่เราเรียกว่าสองมาตรฐาน และสิ่งนี้ทุกคนยอมรับว่าเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมของเรา ซึ่งเป็นสังคมแห่งความไม่ยุติธรรมมานานแล้ว 78 ปีที่เราเฝ้ารอสิ่งเหล่านี้อยู่ เพราะฉะนั้นอำนาจเป็นของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง
ท่านที่เคารพคงจะเข้าใจว่าวันนี้เราพูดกันถึงอำนาจเผด็จการกันอยู่ตลอดเวลา และทุกคนก็มุ่งหวังที่อยากจะให้อำนาจเป็นของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง จุดยืนของพรรค (เพื่อไทย) ชัดเจนว่าการเปลี่ยนแปลงเราสนับสนุนสันติวิธีและปฏิเสธความรุนแรงทุกวิถีทาง เราขอร้องทุกภาคส่วนในสังคมของเรา แน่นอนที่สุดวันนี้หลายๆ กระบวนการไม่ได้เกิดจากพรรคเพื่อไทยหรือขบวนการเสื้อแดงเท่านั้น หลายขบวนการกำลังก่อตัวขึ้นและกำลังเคลื่อนไหวกันอย่างมากเพราะว่าระดับสองมาตรฐานขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว...”
…………………………
ใครที่พยายามพูดว่า “บิ๊กจิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ของผมพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องผมต้องขอความเป็นธรรมให้ท่านหน่อย เพราะหากลองอ่านคำแถลงข่าวเมื่อ 27 ก.พ. 2553 (หลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ 4.6 หมื่นล้านบาทเพียงวันเดียว) ข้างต้นแล้วก็ไม่มีอะไรที่ไม่ชัดเจนหรือต้องตีความ เพราะท่านบิ๊กจิ๋วของผมประกาศชักธงรบกับ “อำมาตย์” อย่างสุดตัว โดยพรรคเพื่อไทยของท่านจะสู้อย่างสันติ แต่พูดเป็นนัยๆ ว่าตอนนี้หลายขบวนการกำลังเกิดขึ้น คงรับประกันได้ยากว่าทุกกลุ่มจะเดินแนวทางสันติเหมือนกันหมด (มันอาจจะมีเสียงตูมตาม เสียงบึ้มเกิดขึ้นก็ได้...)
หลังการแถลงข่าวเพียงครึ่งค่อนวัน คืนวันที่ 27 ก.พ.ก็เกิดเหตุระเบิด 4 จุด หลายฝ่ายชี้ว่าเป็นผลพวงโยงใยมาจากคดียึดทรัพย์คดีที่ “บิ๊กจิ๋ว” บอกว่าทำให้ระดับสองมาตรฐานขึ้นสู่จุดสูงสุด...
ถึงวันนี้หลายคนที่พยายามมอง พล.อ.ชวลิตให้ทะลุลอดแต่ก็ไม่กล้าฟันธงว่า ปรากฏการณ์ที่ พล.อ.ชวลิต ย่างสามขุมไปซบตักพรรคเพื่อไทย รับบทเป็น ประธานพรรค และเดินเกมจับมือกับฮุนเซนเพื่อทักษิณ ชินวัตร รวมทั้งบทบาทต่างๆ กระทั่งทุกวันนี้นั้น เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องลับลวงพรางกันแน่...แต่น่าเชื่อว่าหลายฝ่ายคงจะฟันธงไปแล้วว่าพล.อ.ชวลิตเป็นเช่นนั้นจริงๆ
นั่นคือ...ศิโรราบ รับใช้ทักษิณ โดยที่อาจจะมีผลตอบแทนในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการให้โอกาสขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองหากว่ามีเงื่อนไขที่เป็นไปได้...
ร่วมๆ สองเดือนมาแล้วผมเคยถามท่าน น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ ที่เคยร่วมงานและรู้จักกับ พล.อ.ชวลิต ดีว่า การที่ พล.อ.ชวลิตไปร่วมมือกับทักษิณอีกหนนั้นเป็นเรื่องลับลวงพราง เป้าหมายลึกๆ ทำเพื่อชาติหรือไม่? น.ต.ประสงค์ตอบผ่านรายการสภาท่าพระอาทิตย์ ASTV ด้วยเสียงดังๆ ว่า คุณสำราญหรือใครจะเชื่อก็เชื่อไป แต่ท่านไม่ขอเชื่อด้วยอย่างเด็ดขาด...
ที่น่าสนใจมากก็คือกรณีคุณพี่ ไพศาล พืชมงคล หรือ “สิริอัญญา” นักเขียนบทความดีเด่น ซึ่งเคยร่วมงาน เป็นมันสมองสำคัญให้กับ พล.อ.ชวลิตมาเป็นเวลายาวนานได้ตอบคำถามประเด็นนี้ผ่านเว็บไซต์ส่วนตัว paisalvision.com ไว้ตั้งแต่ 22 ต.ค.2552 ว่า อีกไม่นานจะได้รู้กันว่า “บิ๊กจิ๋ว” จะเล่นบท “ออกญาจักรี” หรือ “อุยกาย”
ออกญาจักรี - ทำตัวเป็นไส้ศึกพม่าจนเสียกรุง
“อุยกาย” - ตัวละครในสามก๊ก ตอนสงครามเซ็กเพ็ก อุยกายปฏิบัติการลับลวงพรางแสร้งทะเลาะกับจิวยี่ยอมเจ็บตัวถูกเฆี่ยนโบยตีเพื่อไปหลอกลวงขอสวามิภักดิ์โจโฉ จนเผากองเรือโจโผ ชนะศึกใหญ่
วันนี้ไม่ทราบว่าคุณพี่ไพศาลท่านฟันธงได้หรือยังว่า “บิ๊กจิ๋ว” ของผมเป็นพระยาจักรีหรืออุยกาย หรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง แท้จริงแล้วแค่หางานทำแก้เซ็งหาเงินก้อนไว้ใช้ตอนแก่ เพราะวันนี้ลูกน้องและลูกๆ หลานๆ ยังไปรบกวนท่านไม่ขาดสาย...และที่สำคัญคงเผื่อฟลุ๊กว่าส้มอาจหล่นใส่เท้าเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบ
ผมเองนั้นแม้พยายามมอง “บิ๊กจิ๋ว” ในแง่ดีและเข้าใจเพียงใดก็ตาม แต่ด้วยประจักษ์พยานแห่งพฤติการณ์ในรอบ 5-6 เดือนที่ผ่านมาไม่อาจทำให้ผมเชื่อว่าบิ๊กจิ๋วจะยอมเล่นบทอุยกายหรือลับลวงพรางได้อีก เพราะสิ่งที่ท่านทำลงไปเป็นการซ้ำเติมทำให้บ้านเมืองบอบช้ำอย่างแสนสาหัส ผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า “บิ๊กจิ๋ว” น่าจะแสวงหาโอกาสให้กับตัวเองเป็นวาระสุดท้าย โอกาสทั้งด้านเงินทองและตำแหน่งแห่งหนที่จะรับใช้ชาติอีกครั้งหนึ่ง...
ทั้งๆ ที่หาก พล.อ.ชวลิตรักบ้านรักเมืองหรืออยากรับใช้ชาติในบั้นปลายชีวิตจริง น่าจะมีทางเลือก ทางปฏิบัติที่งดงามกว่าทางเลือกนี้ ไม่จำเป็นต้องกระเสือกกระสนทุรนทุรายไปรับใช้นักโทษชายที่ทำร้ายบ้านเมือง....แค่อยู่กับบ้านเฉยๆ แล้วพูดจาให้สติกับทุกฝ่าย ให้ยึดแนวทางสันติ เคารพกฎหมาย เห็นแก่ชาติ เห็นแก่สถาบันสำคัญของชาติก็เป็นบุญเป็นคุณกับบ้านเมืองยิ่งนักแล้ว…
ทุกท่านคงยังจำได้ดีว่า ก่อนไปซบพรรคเพื่อไทย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ในฐานะอดีตผู้บังคับบัญชาหรือเจ้านายของ พล.อ.ชวลิต เคยฝากคนไปเตือนว่าขอให้ไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นการทรยศชาติ...
ถึงวันนี้ คำเตือนและความห่วงใยของ พล.อ.เปรมคงกลายเป็นอดีตที่ไม่น่าจะมีคุณค่าในความรู้สึกของ “บิ๊กจิ๋ว” แต่ประการใดก็ได้ เพราะทุกอย่างมันไปไกลไปมากแล้ว วันนี้ “บิ๊กจิ๋ว” ชูธงคำว่า “สองมาตรฐาน” วาทกรรมคำขวัญการต่อสู้ล้มอำมาตย์ของคนเสื้อแดงอย่างเต็มปากเต็มคำ...ซึ่งผมไม่เชื่อว่าส่วนลึกของหัวใจ “บิ๊กจิ๋ว” จะคิดเช่นนั้นจริงๆ และผมก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าระดับบิ๊กจิ๋วมีจะไม่รู้ว่า เหตุที่ รสช.ปล่อยผีคดียึดทรัพย์เมื่อปี 2535 นั้นมันมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไร ใครได้ประโยชน์ และต่างจากกรณี คตส. 2553 อย่างไร...
ผมเสียดายที่ “บิ๊กจิ๋ว” ของผมไปไกลมากแล้ว จากอดีตสมัยรับราชการเป็นนายทหารเหล่าสื่อสารที่เก่งฉกาจ ขนาดมีไขควงตัวเดียวอันเดียว “บิ๊กจิ๋ว” ก็สามารถซ่อมโทรทัศน์ได้เป็นสิบเครื่องร้อยเครื่อง แต่วันนี้ปัญหาประเทศไทยไม่ใช่แค่โทรทัศน์เสีย และ “บิ๊กจิ๋ว” ก็ไม่ใช่ “บิ๊กจิ๋ว” คนเดิมที่หลายคนเคยรักและรู้จักอีกต่อไปแล้ว..??
ว่างๆ ใช้ไขควงซ่อมหัวใจตัวเองหน่อยก็ดีนะครับท่าน “บิ๊กจิ๋ว”...เผื่อว่ามันยังพอซ่อมได้.