ASTV ผู้จัดการรายวัน – ยักษ์สื่อสิ่งพิมพ์และผู้จัดงานมอเตอร์โชว์ กลุ่ม“กรังด์ปรีซ์” จับมือ “แกรมมี่” รุกธุรกิจทีวีดาวเทียม พร้อมทุ่มอีก 200 ล้านบาท สร้างสนามกอล์ฟแห่งใหม่ เชื่อเหตุการณ์ปั่นป่วนทางการเมือง ไม่รุนแรงเท่าปัญหามาบตะพุด และไม่ส่งผลต่องานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ปีนี้ มั่นใจเงินสะพัด 4.5 หมื่นล้านบาท เผยรถเล็กและอีโคคาร์นิสสันจะกระตุ้นตลาดเป็นสำคัญ และดันอุตสาหกรรม
ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธาน บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตสื่อนิตยสารยานยนต์ และผู้จัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เปิดเผยว่า กลุ่มกรังด์ปรีซ์ได้มีการมองธุรกิจใหม่ หรือขยายธุรกิจที่มีอยู่ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยในปีนี้ได้ลงทุนสร้างสนามกอล์ฟแห่งใหม่ ที่อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอยู่ติดกับสนามกอล์ฟบลูซัพพลายของบริษัทฯ ในปัจจุบัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท
“ล่าสุดกรังด์ปรีซ์ยังได้ร่วมกับบริษัทแกรมมี่ฯ เพื่อลงทุนในการทำช่องทีวีดาวเทียม ซึ่งเป็นช่องเกี่ยวกับรายการยานยนต์โดยเฉพาะ 8 ชั่วโมง และมีการหมุนเวียนออนแอร์ตลอดทั้งวัน โดยประมาณเดือนตุลาคมปลายปีนี้ น่าจะสามารถเริ่มออกอากาศได้ ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงพูดคุยรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การตลาด และเงินลงทุนทั้งหมด ที่คาดว่าจะเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท และน่าจะประกาศแผนธุรกิจได้เร็วๆ นี้”
สำหรับในส่วนของการเตรียมความพร้อมการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2010 ดร.ปราจินเปิดเผยว่า ปีนี้ยังคงจะจัดอยู่ที่ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนาเช่นเดิม ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม -6 เมษายน 2553 ภายใต้คอนเซปต์งาน “รักษ์รถ รักษ์โลก” เพื่อตอกย้ำให้มนุษย์หันมาใส่ใจในการรักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และประหยัดการใช้พลังงาน ช่วยให้โลกของเราน่าอยู่ตลอดไป
“ในปีนี้เราจึงเน้นรณรงค์ให้ไม่เพียงรักรถ ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันผลิตและซื้อรถที่รักษ์โลกด้วย ซึ่งบริษัทรถยนต์ก็ร่วมมืออย่างดี โดยนำเข้ารถต้นแบบที่ตอบสนองคอนเซ็ปต์งาน 7-8 ยี่ห้อ รวมถึงผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมที่ใช้งานได้จริง อย่างอีโคคาร์ของนิสสันที่จะเป็นไฮไลต์ของงานในปีนี้ และเห็นว่าเราควรจะสนับสนุนอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงเป็นรถยนต์ประหยัดพลังงาน ยังเป็นโครงการที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยให้แข็งแกร่งด้วย”
ทั้งนี้โครงการอีโคคาร์ นิสสันเป็นยี่ห้อแรกที่เปิดตัวรถสู่ตลาดแล้ว จากนั้นก็จะมีฮอนด้า และซูซูกิตามมา ตรงนี้จะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไทย เติบโตและมียอดการผลิตถึง 2 ล้านคัน ได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลก่อนเคยวางไว้ แม้จะช้าไปจากเดิมที่คาดว่าจะทำได้ในปี 2013 แต่เมื่อประสบวิกฤตเศรษฐกิจโลก จนชะลอไปเมื่อปีที่ผ่านมา และสามารถกลับมาบรรลุเป้าหมายได้ในปี 2015 จึงถือว่าไม่ช้าไปมากนัก
ดร.ปราจินเปิดเผยว่า ในส่วนของงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ แม้จะจัดช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่มีการคาดการณ์กันว่า จะมีความปั่นป่วนและรุนแรงทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นกรณีคำตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และความเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ทั้งหมดอยู่ที่ว่าคนไทยจะมีสติกันหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่กังวลกับปัญหาการเมือง มากนัก และคงไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการจัดงาน
ส่วนการจัดงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ปีนี้ ได้ใช้พื้นที่เต็มศูนย์แสดงสินค้าไบเทคเช่นเดิม แม้จะมีจำนวนยี่ห้อรถยนต์ลดน้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา แต่เกิดจากการไม่สามารถจัดพื้นที่ที่โดดเด่นให้ได้ เพราะพื้นที่บนตัวอาคารศูนย์แสดงสินค้าไบเทคมีจำกัด ทำให้บางยี่ห้ออย่างปอร์เช่ไม่เข้าร่วม ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาที่บริษัทฯ ต้องพิจารณหลังจากจบงานในปีนี้ ครั้งต่อไปจะเปลี่ยนสถานที่จัดงานหรือไม่
ด้านยอดจองรถภายในงานปีนี้ น่าจะขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดว่าจะมียอดจองรถใหม่ภายในงานประมาณ 20,000 คัน แต่สัดส่วนรถยนต์นั่งขนาดเล็กจะเพิ่มขึ้นมาก โดยมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท และมีผู้เข้าชมประมาณ 1.8 ล้านคน
ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธาน บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตสื่อนิตยสารยานยนต์ และผู้จัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ เปิดเผยว่า กลุ่มกรังด์ปรีซ์ได้มีการมองธุรกิจใหม่ หรือขยายธุรกิจที่มีอยู่ให้ครอบคลุมมากขึ้น โดยในปีนี้ได้ลงทุนสร้างสนามกอล์ฟแห่งใหม่ ที่อำเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งอยู่ติดกับสนามกอล์ฟบลูซัพพลายของบริษัทฯ ในปัจจุบัน ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท
“ล่าสุดกรังด์ปรีซ์ยังได้ร่วมกับบริษัทแกรมมี่ฯ เพื่อลงทุนในการทำช่องทีวีดาวเทียม ซึ่งเป็นช่องเกี่ยวกับรายการยานยนต์โดยเฉพาะ 8 ชั่วโมง และมีการหมุนเวียนออนแอร์ตลอดทั้งวัน โดยประมาณเดือนตุลาคมปลายปีนี้ น่าจะสามารถเริ่มออกอากาศได้ ขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงพูดคุยรายละเอียดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการผลิต การตลาด และเงินลงทุนทั้งหมด ที่คาดว่าจะเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท และน่าจะประกาศแผนธุรกิจได้เร็วๆ นี้”
สำหรับในส่วนของการเตรียมความพร้อมการจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2010 ดร.ปราจินเปิดเผยว่า ปีนี้ยังคงจะจัดอยู่ที่ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค บางนาเช่นเดิม ระหว่างวันที่ 26 มีนาคม -6 เมษายน 2553 ภายใต้คอนเซปต์งาน “รักษ์รถ รักษ์โลก” เพื่อตอกย้ำให้มนุษย์หันมาใส่ใจในการรักษาธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และประหยัดการใช้พลังงาน ช่วยให้โลกของเราน่าอยู่ตลอดไป
“ในปีนี้เราจึงเน้นรณรงค์ให้ไม่เพียงรักรถ ทุกฝ่ายจะต้องช่วยกันผลิตและซื้อรถที่รักษ์โลกด้วย ซึ่งบริษัทรถยนต์ก็ร่วมมืออย่างดี โดยนำเข้ารถต้นแบบที่ตอบสนองคอนเซ็ปต์งาน 7-8 ยี่ห้อ รวมถึงผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมที่ใช้งานได้จริง อย่างอีโคคาร์ของนิสสันที่จะเป็นไฮไลต์ของงานในปีนี้ และเห็นว่าเราควรจะสนับสนุนอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงเป็นรถยนต์ประหยัดพลังงาน ยังเป็นโครงการที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยให้แข็งแกร่งด้วย”
ทั้งนี้โครงการอีโคคาร์ นิสสันเป็นยี่ห้อแรกที่เปิดตัวรถสู่ตลาดแล้ว จากนั้นก็จะมีฮอนด้า และซูซูกิตามมา ตรงนี้จะช่วยผลักดันให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไทย เติบโตและมียอดการผลิตถึง 2 ล้านคัน ได้ตามเป้าหมายที่รัฐบาลก่อนเคยวางไว้ แม้จะช้าไปจากเดิมที่คาดว่าจะทำได้ในปี 2013 แต่เมื่อประสบวิกฤตเศรษฐกิจโลก จนชะลอไปเมื่อปีที่ผ่านมา และสามารถกลับมาบรรลุเป้าหมายได้ในปี 2015 จึงถือว่าไม่ช้าไปมากนัก
ดร.ปราจินเปิดเผยว่า ในส่วนของงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ แม้จะจัดช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่มีการคาดการณ์กันว่า จะมีความปั่นป่วนและรุนแรงทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นกรณีคำตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และความเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี ทั้งหมดอยู่ที่ว่าคนไทยจะมีสติกันหรือไม่ ดังนั้นจึงไม่กังวลกับปัญหาการเมือง มากนัก และคงไม่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการจัดงาน
ส่วนการจัดงานบางกอกฯ มอเตอร์โชว์ปีนี้ ได้ใช้พื้นที่เต็มศูนย์แสดงสินค้าไบเทคเช่นเดิม แม้จะมีจำนวนยี่ห้อรถยนต์ลดน้อยลงกว่าปีที่ผ่านมา แต่เกิดจากการไม่สามารถจัดพื้นที่ที่โดดเด่นให้ได้ เพราะพื้นที่บนตัวอาคารศูนย์แสดงสินค้าไบเทคมีจำกัด ทำให้บางยี่ห้ออย่างปอร์เช่ไม่เข้าร่วม ซึ่งตรงนี้เป็นปัญหาที่บริษัทฯ ต้องพิจารณหลังจากจบงานในปีนี้ ครั้งต่อไปจะเปลี่ยนสถานที่จัดงานหรือไม่
ด้านยอดจองรถภายในงานปีนี้ น่าจะขยายตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ คาดว่าจะมียอดจองรถใหม่ภายในงานประมาณ 20,000 คัน แต่สัดส่วนรถยนต์นั่งขนาดเล็กจะเพิ่มขึ้นมาก โดยมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท และมีผู้เข้าชมประมาณ 1.8 ล้านคน