ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
1) ไม่ว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีคำพิพากษาออกมาอย่างไร
ไม่ว่าจะให้ยึดทรัพย์ทั้งหมด ยึดทรัพย์บางส่วน หรือยกฟ้อง ไม่ยึดทรัพย์เลย ขบวนการเสื้อแดงของทักษิณและบริวารของทักษิณ ก็จะไม่หยุดป่วนเมือง อย่างแน่นอน
เพราะอะไร...
หากยึดทั้งหมด หรือยึดบางส่วน ทักษิณและเสื้อแดงก็จะอ้างว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม ศาลยุติความเป็นธรรม พวกตนจะต้องเคลื่อนไหว จะต้องได้อำนาจรัฐ จะได้คืนความเป็นธรรม
หรือถ้าหากยกฟ้อง ไม่ยึดทรัพย์เลย ทักษิณและขบวนการเสื้อแดงก็คงจะอ้างขึ้นมาอีกเหมือนกันว่า รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 เป็นการกลั่นแกล้งใส่ร้าย คตส.ไม่ชอบทักษิณ กลั่นแกล้งทักษิณมาโดยตลอด จะต้องเปลี่ยนแปลงประเทศ คืนความชอบธรรมให้ทักษิณ ยิ่งเมื่อได้ทรัพย์สินคืน ก็ยิ่งฮึกเหิม บริวารยิ่งคาดหวังต่อน้ำเลี้ยง และคงจะมีท่อน้ำเลี้ยง กระสุนทำงานแบบปูพรมมากขึ้น
ทั้งหมด เพราะเจตนาที่แท้จริง อันสะท้อนผ่านการเคลื่อนไหวของทักษิณและขบวนการเสื้อแดงตลอดมา ไม่เพียงแต่หลุดจากการถูกยึดทรัพย์ แต่ต้องพ้นโทษอาญาทั้งปวง (หลายคดี) ต้องการได้อำนาจรัฐ และต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างปัจจุบัน
2) ข้อกล่าวหาของ ตคส. และ อัยการสูงสุด เรื่อง “ร่ำรวยผิดปกติ” ไม่ได้มีความหมายเหมือนที่ทักษิณพยายามจะบิดเบือน โดยอธิบายว่าตนเองร่ำรวยมาก่อนแล้ว
อ้างว่า รวยมาก่อนเป็นนายกฯ - รวยแล้วจึงเข้ามาเล่นการเมือง - รวยแล้วไม่มีทางจะไปโกงบ้านโกงเมือง – อำมาตย์ห้ามคนรวยเข้ามาทำงานการเมือง ฯลฯ ว่าไปโน่นเลย...
ความจริง... รวยก่อนจะมาเป็นนายกฯ ไม่ใช่ประเด็นเลย แต่เป็นนายกฯ แล้ว ได้มีการใช้ตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและครอบครัว ทำให้ “รวยมากขึ้น” โดยไม่สุจริตหรือไม่ นั่นต่างหากคือประเด็นที่แท้จริง!
เพราะฉะนั้น ประเด็นที่ทักษิณต้องพิสูจน์ตัวเองให้ชัดเจน คือ การ “รวยมากขึ้น” มหาศาลนั้น ได้มาโดยสุจริต บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ใช่โดยนโยบายของรัฐที่เอื้อประโยชน์ในยุครัฐบาลทักษิณเอง ไม่ว่าจะเป็น
การแก้ไขสัญญาสัมปทาน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ให้แก่รัฐ ในกรณีโทรศัพท์มือถือแบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าหรือบัตรเติมเงิน ทำให้บริษัทเอไอเอสมีรายได้เพิ่มขึ้น มูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท
การแก้ไขสัญญา เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 เพื่อให้บริษัทเอไอเอสเข้าไปใช้เครือข่ายร่วมหรือโรมมิ่ง ทำให้เอไอเอสได้รับผลประโยชน์โดยตรง ไม่น้อยกว่า 18,970 ล้านบาท
การใช้อำนาจแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งนอกจากจะเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอสแล้ว ยังเป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกีดกันผู้ประกอบการโทรคมนาคมรายใหม่ และทำให้หน่วยงานของรัฐคู่สัญญาได้รับความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท
การให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ อนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุนแก่รัฐบาลทหารพม่า 4,000 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทชินแชทเทิลไลน์ได้รับผลประโยชน์จากพม่า เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม จนต้องตั้งงบประมาณแผ่นดินของประชาชนมาชดเชย
นอกจากนี้ ยังมีการเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจแก่กิจการดาวเทียมของบริษัทชินฯ อีกหลายกรณี มูลค่าผลประโยชน์หลายหมื่นล้านบาท เป็นต้น
ผลประโยชน์จากการใช้อำนาจรัฐดังกล่าวนั้น ล้วนตกอยู่กับเครือชินคอร์ปอเรชั่นฯ ทำให้ราคาหุ้นของชินฯ มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมาก แล้วจึงใช้อำนาจรัฐแก้กฎหมายให้ต่างชาติถือหุ้นได้เพิ่มขึ้น จาก 25% เป็น 49% แล้วจึงรวบรวมขายหุ้นทั้งหมด 48% เศษ ให้กับบริษัทเทมาเสกของสิงคโปร์ โดยหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว!
และในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนขายหุ้น ได้โอนหุ้นชินคอร์ปฯ ให้ลูกและคนใกล้ตัวนั้น ถือว่าเป็นหลีกเลี่ยง อำพราง ซุกหุ้น หรือให้คนอื่นทำเป็นถือหุ้นแทน หรือไม่?
หากเป็นเช่นนั้น ก็จะชัดเจนว่า ไม่ใช่ “รวยแล้วไม่โกง” หรือ “รวยก่อนจะมาเป็นนายกฯ” แต่จะเป็นว่า “รวยแล้วยังโกง” – “เป็นนายกฯ แล้วทุจริต” – “ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน”
3) ถึงวันนี้ ประเทศชาติบอบช้ำมามากเหลือเกินแล้ว
คำโกหกบิดเบือน เพื่อกลบเกลื่อนความเลวร้ายของตนเองในทำนองว่า จะจับหนูตัวเดียว กลับต้องเผาบ้านตัวเองนั้น เป็นเพียงอีกหนึ่งคำลวงของทักษิณและพวก เพราะในความเป็นจริง คนที่จุดไฟเผาบ้านเผาเมืองตัวเอง ปลุกระดมผู้คนให้ลุกขึ้นมาทำร้ายประเทศไทยนั้น ก็คือพวกทักษิณนั่นเอง
หนีคดี หนีศาล หนีโทษจำคุก และกลัวถูกลงโทษยึดทรัพย์กลับคืนไปเป็นของแผ่นดิน จึงเคลื่อนไหวดิ้นรน ทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่งไปชักชวนร่วมมือกับกองกำลังต่างชาติ ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ชักนำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในประเทศไทยเพื่อหวัง “เอาตัวรอด” ด้วยการ “ฉวยโอกาส” อาศัย “สถานการณ์พิเศษ” และ “อำนาจพิเศษ” เพื่อช่วยล้มล้างความผิด คดีความ โทษจำคุก และได้ทรัพย์สินก้อนโตกลับเข้ากระเป๋าตัวเอง
วันนี้ บ้านเมืองเป็นของคนไทยทุกคน ไม่ใช่ของทักษิณและบริวารเสื้อแดงเท่านั้น
ทุกคน จะต้องช่วยกันดูแลป้องกัน รักษาชุมชน ท้องถิ่น ท้องที่ บ้านเมืองของตนไม่ให้ใครคิดมาทำลาย เผา หรือก่อวินาศกรรมได้ง่ายๆ
ถ้าคนในชุมชนไม่ปกป้อง “บ้านของตนเอง” แล้ว... ใครจะช่วยดูแล “บ้านเรา”
กรณีตัวอย่างที่น่ายกย่อง เช่น กรณีชาวสีลมไม่เพิกเฉย ไม่ยอมจำนน แสดงออก โดยลุกขึ้นมาปกป้องชุมชนของตน เมื่อครั้งเดือนเมษายน 2552 หรือแม้แต่ในช่วงศุกร์ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็ช่วยป้องกันมิให้เกิดเหตุร้าย บานปลาย อย่างน่าชื่นชม
รวมทั้ง กรณีชุมชนชาวกิ่งเพชร ชาวนางเลิ้ง ชาวมักกะสัน ชาวแฟลตดินแดง ชาวยมราช ฯลฯ ในช่วงเดือนเมษายน 2552 ที่ “ไม่ยอมจำนน” ลุกขึ้นมาร่วมกันคนละไม้คนละมือ ไม่ใช่เพื่อจะทำร้ายหรือใช้ความรุนแรง แต่เพื่อปกป้อง ดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ชุมชนของตนเอง ล้วนแต่เป็นความกล้าหาญ และการรักษาไว้ซึ่ง “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” อย่างน่าภาคภูมิใจที่สุด
เหตุการณ์ที่ทักษิณและบริวารเสื้อแดงกำลังเคลื่อนไหวปลุกปั่น ปลุกระดมในระยะหลัง จึงเชื่อว่า ประชาชนจะรู้ทัน พันธมิตรฯ ก็ย่อมรู้ทัน คงไม่มีการรวมตัวเพื่อนำไปสู่การปะทะกับพวกเสื้อแดง
เปลืองแรง เปลืองตัว และจะทำให้ความกักฬขะ “ดิบ ถ่อย เถื่อน” ของขบวนการเสื้อแดง แปดเปื้อนพลังบริสุทธิ์ของประชาชนอย่างน่าเสียดาย
อีกทั้ง หากมีการปะทะ เกิดความรุนแรงลุกลามบานปลาย ก็จะเข้าทางแผนการณ์ของทักษิณและบริวาร ซึ่งต้องการให้มี “สถานการณ์พิเศษ” ชนิดที่อ้างได้ว่า รัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถควบคุมปกครองประเทศได้
พันธมิตรกับประชาชนผู้มีใจรักความเป็นธรรม จะต้องร่วมกับคนในชุมชนของตนเอง หรือคนในท้องที่ใกล้เคียง เพื่อปกป้องดูแลรักษาความสงบและความปลอดภัยในท้องที่ของตน
4) สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ ไม่ปกติ
แทบไม่ต่างจากยามศึกยามสงคราม
แกนนำเสื้อแดงถึงขนาดประกาศบนเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดง ปลุกปั่นให้คนเสื้อแดงเอาขวดเปล่าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ แล้วมาหาน้ำมันเอาข้างหน้า ข่มขุ่ว่ากรุงเทพฯ จะลุกเป็นทะเลเพลิง !
ประชาชนคนไทยทุกคน ต้องช่วยกันปกป้อง ดูแลรักษา สอดส่องเป็นหูเป็นตา ทรัพย์สินของแผ่นดิน สถานที่ราชการ ปั๊มน้ำมัน รถแก๊ส อาคารจอดรถห้างสรรพสินค้า (อย่าลืมว่ารถยนต์ที่มีน้ำมัน อาจถูกใช้เป็นระเบิดได้) ฯลฯ จะต้องเตรียมการ จัดเตรียมเวรยามเฝ้าระวัง เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมสติ เตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับเหตุร้ายได้อย่างไม่ตื่นตระหนก แต่จะต้องซักซ้อมความเข้าใจ เตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ การใช้เครื่องดับเพลิง เฝ้าระวังป้องกัน ติดต่อประสานกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างทันท่วงที
ในสภาวะเช่นนี้ ต้องติดตามรับฟังข่าวสารรอบด้าน อย่าเชื่อเพราะเขาบอกว่า... เชื่อตามๆ กัน... หรือเชื่อเพราะ “คนนั้นเขาบอกมา..” ฯลฯ
ควรตระหนักว่า.. อย่าเชื่อคนโกหก พูดเท็จเป็นอาจิน
อย่าเชื่อคนมีส่วนได้เสีย และอาจได้ประโยชน์จากข่าวเท็จ
อย่าเชื่อเพียงเพราะผู้พูดเป็นคนพูดเก่ง ปากเก่ง ปากดี พูดปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกร่วมได้มาก
อย่าเชื่อเพียงเพราะอคติหรือคาดหวังว่าตัวเราจะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นด้วย ฯลฯ
5) จะเข้าใจสถานการณ์ในระดับภาพรวมได้ดีขึ้น หากลองมองจากภายนอก
ขณะนี้ ประเทศที่พัฒนาและก้าวหน้าในโลก ต่างรู้ทันทักษิณกันหมดแล้ว ไม่มีแผ่นดินไหนอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศของเขา เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรป หรืออียู
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงประเทศยักษ์ใหญ่ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน รวมถึงฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
ส่วนดูไบ ซึ่งอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตน์ (UAE) ก็กำลังพิจารณาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แลกกับนักโทษคดีฉ้อโกงมโหฬาร นายไมเคิล ไบรอันมิธ ซึ่งทางการของดูไบกำลังต้องการตัวเหมือนกัน
ถึงวันนี้ ประเทศที่ทักษิณยังคงเดินทางไปเหยียบได้ เหลือแค่ไม่กี่ประเทศ เช่น นิการากัว มอนเตรนิโกร สวาซีแลนด์ และเขมร ซึ่งทุกประเทศล้วนถูกตั้งคำถามถึงระดับความเป็นประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลในประเทศเหล่านั้น
และที่สำคัญ ที่เขาต้อนรับทักษิณ ก็ล้วนแต่เพราะต้องการผลประโยชน์ตัวเงินจากทักษิณทั้งสิ้น ไม่ใช่ต้อนรับเพราะยกย่องชื่นชมศรัทธาในตัวของทักษิณเลย
ล่าสุด ก็มีการติดต่อผ่านนักธุรกิจไทยชื่อ “ป” เข้าพบประธานาธิบดีคองโก ซึ่งเป้นเผด็จการทหารมาจากการรัฐประหาร เพื่อขอทำธุรกิจผูกขาดเรื่องหวย การพนัน โดยชักชวนนักธุรกิจ “ป” เข้าเป็นหุ้นส่วน
จะเห็นว่า ธุรกิจที่ทำ ก็ไม่ได้แสดงฝีมืออะไร เพราะอาศัย “ผูกขาด” และ “การพนัน” ซึ่งมอมเมาประชาชน แล้วไม่ก่อให้เกิดการพัฒนารายได้รวมของคนในชาติแม้แต่น้อย ทั้งนี้ เพราะการพนันทำให้คนหนึ่งได้ อีกคนหนึ่งเสีย
ผู้ร้ายตายตอนจบ ?
ในหนังไทยส่วนใหญ่ ผู้ร้ายมักจะตายตอนจบ และกว่าที่ตำรวจจะโผล่ออกมาทำหน้าที่ พระเอกและผู้ช่วยพระเอกก็ต้องต่อสู้จนกระทั่งเอาชนะผู้ร้ายให้ได้เด็ดขาดไปแล้วเท่านั้น
วันนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “ผู้ร้าย” – “คนร้าย” – “ผู้หลบหนีอาญาแผ่นดิน” ที่มีสภาพจิตไม่เหมือนคนไทยทั่วไป
คนๆ นี้ แพ้ไม่เป็น แต่จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองชนะ
ไม่ว่าประเทศชาติจะสูญเสียเพียงใด แม้กระทั่งคนเสื้อแดงที่เขาปลุกระดมด้วยความเท็จ ล่อหลอกด้วยลมปาก ให้มาเคลื่อนไหวแทนเขาและครอบครัวของเขา จะต้องสูญเสียเพียงใด เขาก็ไม่เคยจะเกิดความสำนึก
ประเทศชาติยามนี้ ตกอยู่ในภาวะวิกฤติ คนไทยทุกคน คือ “พระเอกตัวจริง”
อย่าปล่อยให้คนจิตป่วนและบริวารทั้งหลาย เหยียบย่ำทำลายประเทศชาติส่วนรวม คุกคามความสงบสุขของสังคม ทำเสมือนจับเอาบ้านเมืองเป็นตัวประกัน หวังแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว อำนาจของพวกตัว และคดีความผิดของพวกตัว
ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด... คนไทยทุกคน ใครทำอะไรได้ ต้องช่วยกันทำ โดยสันติวิธี เพื่อรักษาความสงบของบ้านเมือง เพื่อปกป้องความถูกต้อง รักษาระบบยุติธรรม
“เบื่อความขัดแย้ง เกลียดความรุนแรง” เต็มทีแล้ว!
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
1) ไม่ว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะมีคำพิพากษาออกมาอย่างไร
ไม่ว่าจะให้ยึดทรัพย์ทั้งหมด ยึดทรัพย์บางส่วน หรือยกฟ้อง ไม่ยึดทรัพย์เลย ขบวนการเสื้อแดงของทักษิณและบริวารของทักษิณ ก็จะไม่หยุดป่วนเมือง อย่างแน่นอน
เพราะอะไร...
หากยึดทั้งหมด หรือยึดบางส่วน ทักษิณและเสื้อแดงก็จะอ้างว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม ศาลยุติความเป็นธรรม พวกตนจะต้องเคลื่อนไหว จะต้องได้อำนาจรัฐ จะได้คืนความเป็นธรรม
หรือถ้าหากยกฟ้อง ไม่ยึดทรัพย์เลย ทักษิณและขบวนการเสื้อแดงก็คงจะอ้างขึ้นมาอีกเหมือนกันว่า รัฐประหาร 19 ก.ย.2549 เป็นการกลั่นแกล้งใส่ร้าย คตส.ไม่ชอบทักษิณ กลั่นแกล้งทักษิณมาโดยตลอด จะต้องเปลี่ยนแปลงประเทศ คืนความชอบธรรมให้ทักษิณ ยิ่งเมื่อได้ทรัพย์สินคืน ก็ยิ่งฮึกเหิม บริวารยิ่งคาดหวังต่อน้ำเลี้ยง และคงจะมีท่อน้ำเลี้ยง กระสุนทำงานแบบปูพรมมากขึ้น
ทั้งหมด เพราะเจตนาที่แท้จริง อันสะท้อนผ่านการเคลื่อนไหวของทักษิณและขบวนการเสื้อแดงตลอดมา ไม่เพียงแต่หลุดจากการถูกยึดทรัพย์ แต่ต้องพ้นโทษอาญาทั้งปวง (หลายคดี) ต้องการได้อำนาจรัฐ และต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างปัจจุบัน
2) ข้อกล่าวหาของ ตคส. และ อัยการสูงสุด เรื่อง “ร่ำรวยผิดปกติ” ไม่ได้มีความหมายเหมือนที่ทักษิณพยายามจะบิดเบือน โดยอธิบายว่าตนเองร่ำรวยมาก่อนแล้ว
อ้างว่า รวยมาก่อนเป็นนายกฯ - รวยแล้วจึงเข้ามาเล่นการเมือง - รวยแล้วไม่มีทางจะไปโกงบ้านโกงเมือง – อำมาตย์ห้ามคนรวยเข้ามาทำงานการเมือง ฯลฯ ว่าไปโน่นเลย...
ความจริง... รวยก่อนจะมาเป็นนายกฯ ไม่ใช่ประเด็นเลย แต่เป็นนายกฯ แล้ว ได้มีการใช้ตำแหน่ง อำนาจหน้าที่ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและครอบครัว ทำให้ “รวยมากขึ้น” โดยไม่สุจริตหรือไม่ นั่นต่างหากคือประเด็นที่แท้จริง!
เพราะฉะนั้น ประเด็นที่ทักษิณต้องพิสูจน์ตัวเองให้ชัดเจน คือ การ “รวยมากขึ้น” มหาศาลนั้น ได้มาโดยสุจริต บริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่ใช่โดยนโยบายของรัฐที่เอื้อประโยชน์ในยุครัฐบาลทักษิณเอง ไม่ว่าจะเป็น
การแก้ไขสัญญาสัมปทาน เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2544 เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ให้แก่รัฐ ในกรณีโทรศัพท์มือถือแบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าหรือบัตรเติมเงิน ทำให้บริษัทเอไอเอสมีรายได้เพิ่มขึ้น มูลค่ากว่า 70,000 ล้านบาท
การแก้ไขสัญญา เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2545 เพื่อให้บริษัทเอไอเอสเข้าไปใช้เครือข่ายร่วมหรือโรมมิ่ง ทำให้เอไอเอสได้รับผลประโยชน์โดยตรง ไม่น้อยกว่า 18,970 ล้านบาท
การใช้อำนาจแปลงค่าสัมปทานโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต ซึ่งนอกจากจะเอื้อประโยชน์แก่บริษัทเอไอเอสแล้ว ยังเป็นการใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือกีดกันผู้ประกอบการโทรคมนาคมรายใหม่ และทำให้หน่วยงานของรัฐคู่สัญญาได้รับความเสียหายหลายหมื่นล้านบาท
การให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์ อนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำกว่าต้นทุนแก่รัฐบาลทหารพม่า 4,000 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทชินแชทเทิลไลน์ได้รับผลประโยชน์จากพม่า เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม จนต้องตั้งงบประมาณแผ่นดินของประชาชนมาชดเชย
นอกจากนี้ ยังมีการเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจแก่กิจการดาวเทียมของบริษัทชินฯ อีกหลายกรณี มูลค่าผลประโยชน์หลายหมื่นล้านบาท เป็นต้น
ผลประโยชน์จากการใช้อำนาจรัฐดังกล่าวนั้น ล้วนตกอยู่กับเครือชินคอร์ปอเรชั่นฯ ทำให้ราคาหุ้นของชินฯ มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมาก แล้วจึงใช้อำนาจรัฐแก้กฎหมายให้ต่างชาติถือหุ้นได้เพิ่มขึ้น จาก 25% เป็น 49% แล้วจึงรวบรวมขายหุ้นทั้งหมด 48% เศษ ให้กับบริษัทเทมาเสกของสิงคโปร์ โดยหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว!
และในขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก่อนขายหุ้น ได้โอนหุ้นชินคอร์ปฯ ให้ลูกและคนใกล้ตัวนั้น ถือว่าเป็นหลีกเลี่ยง อำพราง ซุกหุ้น หรือให้คนอื่นทำเป็นถือหุ้นแทน หรือไม่?
หากเป็นเช่นนั้น ก็จะชัดเจนว่า ไม่ใช่ “รวยแล้วไม่โกง” หรือ “รวยก่อนจะมาเป็นนายกฯ” แต่จะเป็นว่า “รวยแล้วยังโกง” – “เป็นนายกฯ แล้วทุจริต” – “ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชน”
3) ถึงวันนี้ ประเทศชาติบอบช้ำมามากเหลือเกินแล้ว
คำโกหกบิดเบือน เพื่อกลบเกลื่อนความเลวร้ายของตนเองในทำนองว่า จะจับหนูตัวเดียว กลับต้องเผาบ้านตัวเองนั้น เป็นเพียงอีกหนึ่งคำลวงของทักษิณและพวก เพราะในความเป็นจริง คนที่จุดไฟเผาบ้านเผาเมืองตัวเอง ปลุกระดมผู้คนให้ลุกขึ้นมาทำร้ายประเทศไทยนั้น ก็คือพวกทักษิณนั่นเอง
หนีคดี หนีศาล หนีโทษจำคุก และกลัวถูกลงโทษยึดทรัพย์กลับคืนไปเป็นของแผ่นดิน จึงเคลื่อนไหวดิ้นรน ทำทุกวิถีทาง แม้กระทั่งไปชักชวนร่วมมือกับกองกำลังต่างชาติ ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน ชักนำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในประเทศไทยเพื่อหวัง “เอาตัวรอด” ด้วยการ “ฉวยโอกาส” อาศัย “สถานการณ์พิเศษ” และ “อำนาจพิเศษ” เพื่อช่วยล้มล้างความผิด คดีความ โทษจำคุก และได้ทรัพย์สินก้อนโตกลับเข้ากระเป๋าตัวเอง
วันนี้ บ้านเมืองเป็นของคนไทยทุกคน ไม่ใช่ของทักษิณและบริวารเสื้อแดงเท่านั้น
ทุกคน จะต้องช่วยกันดูแลป้องกัน รักษาชุมชน ท้องถิ่น ท้องที่ บ้านเมืองของตนไม่ให้ใครคิดมาทำลาย เผา หรือก่อวินาศกรรมได้ง่ายๆ
ถ้าคนในชุมชนไม่ปกป้อง “บ้านของตนเอง” แล้ว... ใครจะช่วยดูแล “บ้านเรา”
กรณีตัวอย่างที่น่ายกย่อง เช่น กรณีชาวสีลมไม่เพิกเฉย ไม่ยอมจำนน แสดงออก โดยลุกขึ้นมาปกป้องชุมชนของตน เมื่อครั้งเดือนเมษายน 2552 หรือแม้แต่ในช่วงศุกร์ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา ก็ช่วยป้องกันมิให้เกิดเหตุร้าย บานปลาย อย่างน่าชื่นชม
รวมทั้ง กรณีชุมชนชาวกิ่งเพชร ชาวนางเลิ้ง ชาวมักกะสัน ชาวแฟลตดินแดง ชาวยมราช ฯลฯ ในช่วงเดือนเมษายน 2552 ที่ “ไม่ยอมจำนน” ลุกขึ้นมาร่วมกันคนละไม้คนละมือ ไม่ใช่เพื่อจะทำร้ายหรือใช้ความรุนแรง แต่เพื่อปกป้อง ดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ชุมชนของตนเอง ล้วนแต่เป็นความกล้าหาญ และการรักษาไว้ซึ่ง “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” อย่างน่าภาคภูมิใจที่สุด
เหตุการณ์ที่ทักษิณและบริวารเสื้อแดงกำลังเคลื่อนไหวปลุกปั่น ปลุกระดมในระยะหลัง จึงเชื่อว่า ประชาชนจะรู้ทัน พันธมิตรฯ ก็ย่อมรู้ทัน คงไม่มีการรวมตัวเพื่อนำไปสู่การปะทะกับพวกเสื้อแดง
เปลืองแรง เปลืองตัว และจะทำให้ความกักฬขะ “ดิบ ถ่อย เถื่อน” ของขบวนการเสื้อแดง แปดเปื้อนพลังบริสุทธิ์ของประชาชนอย่างน่าเสียดาย
อีกทั้ง หากมีการปะทะ เกิดความรุนแรงลุกลามบานปลาย ก็จะเข้าทางแผนการณ์ของทักษิณและบริวาร ซึ่งต้องการให้มี “สถานการณ์พิเศษ” ชนิดที่อ้างได้ว่า รัฐบาลปัจจุบันไม่สามารถควบคุมปกครองประเทศได้
พันธมิตรกับประชาชนผู้มีใจรักความเป็นธรรม จะต้องร่วมกับคนในชุมชนของตนเอง หรือคนในท้องที่ใกล้เคียง เพื่อปกป้องดูแลรักษาความสงบและความปลอดภัยในท้องที่ของตน
4) สถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ ไม่ปกติ
แทบไม่ต่างจากยามศึกยามสงคราม
แกนนำเสื้อแดงถึงขนาดประกาศบนเวทีชุมนุมของคนเสื้อแดง ปลุกปั่นให้คนเสื้อแดงเอาขวดเปล่าเดินทางเข้ากรุงเทพฯ แล้วมาหาน้ำมันเอาข้างหน้า ข่มขุ่ว่ากรุงเทพฯ จะลุกเป็นทะเลเพลิง !
ประชาชนคนไทยทุกคน ต้องช่วยกันปกป้อง ดูแลรักษา สอดส่องเป็นหูเป็นตา ทรัพย์สินของแผ่นดิน สถานที่ราชการ ปั๊มน้ำมัน รถแก๊ส อาคารจอดรถห้างสรรพสินค้า (อย่าลืมว่ารถยนต์ที่มีน้ำมัน อาจถูกใช้เป็นระเบิดได้) ฯลฯ จะต้องเตรียมการ จัดเตรียมเวรยามเฝ้าระวัง เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมสติ เตรียมความพร้อม เพื่อรับมือกับเหตุร้ายได้อย่างไม่ตื่นตระหนก แต่จะต้องซักซ้อมความเข้าใจ เตรียมเครื่องมือ อุปกรณ์ การใช้เครื่องดับเพลิง เฝ้าระวังป้องกัน ติดต่อประสานกับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอย่างทันท่วงที
ในสภาวะเช่นนี้ ต้องติดตามรับฟังข่าวสารรอบด้าน อย่าเชื่อเพราะเขาบอกว่า... เชื่อตามๆ กัน... หรือเชื่อเพราะ “คนนั้นเขาบอกมา..” ฯลฯ
ควรตระหนักว่า.. อย่าเชื่อคนโกหก พูดเท็จเป็นอาจิน
อย่าเชื่อคนมีส่วนได้เสีย และอาจได้ประโยชน์จากข่าวเท็จ
อย่าเชื่อเพียงเพราะผู้พูดเป็นคนพูดเก่ง ปากเก่ง ปากดี พูดปลุกเร้าอารมณ์ความรู้สึกร่วมได้มาก
อย่าเชื่อเพียงเพราะอคติหรือคาดหวังว่าตัวเราจะได้ประโยชน์จากสิ่งนั้นด้วย ฯลฯ
5) จะเข้าใจสถานการณ์ในระดับภาพรวมได้ดีขึ้น หากลองมองจากภายนอก
ขณะนี้ ประเทศที่พัฒนาและก้าวหน้าในโลก ต่างรู้ทันทักษิณกันหมดแล้ว ไม่มีแผ่นดินไหนอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศของเขา เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา เยอรมัน สวิสเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และประเทศในกลุ่มประชาคมยุโรป หรืออียู
นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงประเทศยักษ์ใหญ่ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน รวมถึงฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
ส่วนดูไบ ซึ่งอยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตน์ (UAE) ก็กำลังพิจารณาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน แลกกับนักโทษคดีฉ้อโกงมโหฬาร นายไมเคิล ไบรอันมิธ ซึ่งทางการของดูไบกำลังต้องการตัวเหมือนกัน
ถึงวันนี้ ประเทศที่ทักษิณยังคงเดินทางไปเหยียบได้ เหลือแค่ไม่กี่ประเทศ เช่น นิการากัว มอนเตรนิโกร สวาซีแลนด์ และเขมร ซึ่งทุกประเทศล้วนถูกตั้งคำถามถึงระดับความเป็นประชาธิปไตยและธรรมาภิบาลในประเทศเหล่านั้น
และที่สำคัญ ที่เขาต้อนรับทักษิณ ก็ล้วนแต่เพราะต้องการผลประโยชน์ตัวเงินจากทักษิณทั้งสิ้น ไม่ใช่ต้อนรับเพราะยกย่องชื่นชมศรัทธาในตัวของทักษิณเลย
ล่าสุด ก็มีการติดต่อผ่านนักธุรกิจไทยชื่อ “ป” เข้าพบประธานาธิบดีคองโก ซึ่งเป้นเผด็จการทหารมาจากการรัฐประหาร เพื่อขอทำธุรกิจผูกขาดเรื่องหวย การพนัน โดยชักชวนนักธุรกิจ “ป” เข้าเป็นหุ้นส่วน
จะเห็นว่า ธุรกิจที่ทำ ก็ไม่ได้แสดงฝีมืออะไร เพราะอาศัย “ผูกขาด” และ “การพนัน” ซึ่งมอมเมาประชาชน แล้วไม่ก่อให้เกิดการพัฒนารายได้รวมของคนในชาติแม้แต่น้อย ทั้งนี้ เพราะการพนันทำให้คนหนึ่งได้ อีกคนหนึ่งเสีย
ผู้ร้ายตายตอนจบ ?
ในหนังไทยส่วนใหญ่ ผู้ร้ายมักจะตายตอนจบ และกว่าที่ตำรวจจะโผล่ออกมาทำหน้าที่ พระเอกและผู้ช่วยพระเอกก็ต้องต่อสู้จนกระทั่งเอาชนะผู้ร้ายให้ได้เด็ดขาดไปแล้วเท่านั้น
วันนี้ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับ “ผู้ร้าย” – “คนร้าย” – “ผู้หลบหนีอาญาแผ่นดิน” ที่มีสภาพจิตไม่เหมือนคนไทยทั่วไป
คนๆ นี้ แพ้ไม่เป็น แต่จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตนเองชนะ
ไม่ว่าประเทศชาติจะสูญเสียเพียงใด แม้กระทั่งคนเสื้อแดงที่เขาปลุกระดมด้วยความเท็จ ล่อหลอกด้วยลมปาก ให้มาเคลื่อนไหวแทนเขาและครอบครัวของเขา จะต้องสูญเสียเพียงใด เขาก็ไม่เคยจะเกิดความสำนึก
ประเทศชาติยามนี้ ตกอยู่ในภาวะวิกฤติ คนไทยทุกคน คือ “พระเอกตัวจริง”
อย่าปล่อยให้คนจิตป่วนและบริวารทั้งหลาย เหยียบย่ำทำลายประเทศชาติส่วนรวม คุกคามความสงบสุขของสังคม ทำเสมือนจับเอาบ้านเมืองเป็นตัวประกัน หวังแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว อำนาจของพวกตัว และคดีความผิดของพวกตัว
ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด... คนไทยทุกคน ใครทำอะไรได้ ต้องช่วยกันทำ โดยสันติวิธี เพื่อรักษาความสงบของบ้านเมือง เพื่อปกป้องความถูกต้อง รักษาระบบยุติธรรม
“เบื่อความขัดแย้ง เกลียดความรุนแรง” เต็มทีแล้ว!