xs
xsm
sm
md
lg

ผมเห็นด้วยกับ ‘พระพยอม’ ครับ

เผยแพร่:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ

surawhisky@hotmail.com

หลายคนบอกว่า พระพยอมเป็นพระนักเทศน์ ผมบอกว่า ไม่เถียง หลายคนบอกว่า พระพยอมทำอะไรเพื่อสังคมเยอะแยะ ผมก็บอกว่า การทำประโยชน์เพื่อสังคมและการสอนให้คนทำความดีเป็นหน้าที่ของพระ

แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว การทำความดีและการทำเพื่อสังคมควรจะเป็นหน้าที่ของมนุษย์ทุกคน

ก่อนหน้านี้ผมเคยไปที่ร้านขายของเก่าพระพยอมมาบ้าง ครั้งแรกที่ไป เพราะคุณตาให้เรียกวัดมารับเฟอร์นิเจอร์เก่าที่บ้าน ผมเห็นทีมงานที่มาทำงานทำกันเป็นมืออาชีพ ก็อยากตามไปดูที่วัด ผมซื้อเก้าอี้เก่ามา 2-3 ตัว ถามว่าแพงไหม ตอบว่าแพงมาก ถ้าถามว่าแพงแล้วทำไมซื้อ คำตอบคือ คิดว่าเป็นการทำบุญให้วัด

ผมคิดว่า สินค้าในวัดพระพยอมที่กล้าตั้งราคาสูง เพราะมีคนคิดอย่างนี้ไม่น้อย

แต่ที่ผมยอมรับก็คือ พระพยอมเป็นพระนักการตลาด เวลาถึงเทศกาลต่างๆท่านรู้จักหยิบฉวยโอกาสนั้นมาต่อเป็นเงินๆทองๆ เช่น เทศกาลวาเลนไทน์ น่าประหลาดเมื่อผมอ่านประวัติของท่านกลับไม่มีสถาบันการศึกษาไหนมอบปริญญากิตติมศักดิ์ด้านการตลาดให้พระท่านเลย

แต่แม้ของในวัดจะขายแพง ผมก็คิดเสียว่า การทำบุญเป็นเรื่องของจิตใจ ถ้าไปคิดเล็กคิดน้อยหรือหวังสิ่งตอบแทนก็ไม่น่าจะเรียกว่าทำบุญ แต่เป็นการลงทุนเพื่อให้ตัวเองได้รับดอกผลจากการทำบุญนั้น

เรื่องนี้พระพยอมรู้ดีกว่าผม ไม่ใช่เพราะท่านมีผ้าเหลืองห่อหุ้มกายอยู่ แต่เห็นท่านมีคำเทศนาสั่งสอนผู้คนมานาน และคำสอนนี้เองที่ทำให้ผมและใครต่อใครคิดเอาว่าพระพยอมน่าจะเป็นพระดี

มีคนบอกว่า ไม่ต้องสนใจว่า พระดีหรือพระไม่ดี ยกมือไหว้ก็ให้คิดว่าไหว้ผ้าเหลือง แต่สำหรับผมผ้าเหลืองก็คือผ้าเหลือง มีขายเป็นกุรุทๆถ้าไปแถวพาหุรัด จะว่าอยู่ที่คนห่มผ้าเหลืองก็ไม่ใช่ เพราะชายไทยห่มผ้าเหลืองแล้วโกนหัวอุทิศตนให้พระพุทธศาสนาเป็นที่ยกย่องน่าเลื่อมใสก็มีมาก แต่ห่มเหลืองแล้วทำความเสื่อมเสียให้พุทธศาสนาก็มีไม่น้อยเหมือนกัน

ดังนั้นความดีน่าจะอยู่ที่วัตรปฏิบัติไม่ใช่คนหรือผ้าเหลือง

ร้านค้าของเก่าของพระพยอมนั้น ไม่ใช่ร้านค้าของเก่าเล็กๆ อาจเรียกได้ว่า เป็นซูเปอร์สโตร์ของเก่าก็ว่าได้ ทุกอย่างได้มาง่ายขายคล่อง มั่งคั่งด้วยแรงบุญหนุนนำ

ไม่กี่เดือนก่อนพระพยอมออกมารำพึงผ่านสื่อว่า ไม่มีคนเข้าวัด ไม่ค่อยมีคนนิมนต์ไปเทศน์ จนเด็กวัดกำลังจะอด เหตุผลที่คนไม่เข้าวัดก็รู้กันอยู่ว่า เพราะ พระพยอมให้คนเสื้อแดงมาใช้พื้นที่ของวัด

ถ้าพูดกันอย่างไม่อ้อมค้อมก็คือ พระพยอม สนับสนุนนักโทษชายทักษิณ พระท่านอาจจะยังคงพูดอ้อมๆ แอ้มๆ ซึ่งความจริงไม่ใช่จริตของพระ ที่สำคัญวัตรปฏิบัติของท่านก็ฟ้องอยู่แล้วว่า ท่านเลือกทางไหน

ผมไม่ได้กล่าวหาว่า พระพยอมผิดที่จะเลือกยืนข้างทักษิณ และผมก็ไม่ได้บังคับให้ใครเลือกข้างไหน มีบางคนพูดทำนองว่า ไม่ได้เลือกฝ่ายไหน ก็ไม่เป็นไรครับ แต่ต้องตอบให้ได้ว่าตัวเองเลือกอะไร และเหตุผลที่เลือกยืนตรงจุดนั้นเพราะอะไร

บางคนบอกว่า ขอพื้นที่ให้คนที่ไม่เลือกทั้งเหลืองทั้งแดง ผมก็งงว่า ใครที่ไม่ให้พื้นที่ใครยืน ผมคิดว่า คำถามแบบนี้เป็นคำถามของคนที่ไม่รู้จุดยืนของตัวเองมากกว่า บางคนทำเท่กว่านั้น บอกว่า เลือกยืนในพื้นที่ที่ให้แดงและเหลืองได้อยู่ร่วมกัน ผมก็ไม่เห็นว่า ตรงไหนที่คนเหลืองแดงจะอยู่ร่วมกันไม่ได้

ปัญหาคือว่า ถ้าเหลืองเขาต่อต้านรัฐบาลคอร์รัปชัน คุณคิดว่าอย่างไร ถ้าแดงเขาเรียกร้องความยุติธรรมที่เขาคิดว่าทักษิณไม่ได้รับความเป็นธรรม คุณว่าไง คุณมีจุดยืนในเรื่องนั้นๆอย่างไร

ผมพยายามเชื่อว่า พระพยอมท่านเลือกยืนข้างนักโทษชายทักษิณด้วยจิตบริสุทธิ์ และท่านมีสิทธิ์ที่จะเลือกเชื่อเช่นนั้น

แต่พระท่านเองก็ยอมรับว่า เพราะวัตรปฏิบัติของท่านทำให้คนไม่เข้าวัด ตอนนั้น ผมอ่านบทสัมภาษณ์ของท่านแล้วเห็นใจ ท่านพูดคล้ายๆ ว่า ต่อไปนี้เข็ดแล้ว อาตมาไม่เอาแล้ว แต่พออาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ถูกกลุ่มเสื้อแดงล้อมบ้านจะรุมทำร้าย พระพยอมท่านกลับเขียนบทความเห็นด้วยในทำนองอาจารย์เจิมศักดิ์สมควรโดน พระท่านไม่ได้บอกว่า สมน้ำหน้า แต่ก็มีความหมายประมาณนั้น

“พูดเพราะอคติจึงทำให้ต้องพึ่งตำรวจพาหนีหัวซุกหัวซุน เพราะฉะนั้นคนที่หัวดี หัวสูง เรียนเก่ง แต่ถ้าเป็นคนหัวเอียง หัวเสียศูนย์ คงจะอยู่ร่วมโลกกับคนอื่นลำบาก เพราะเวลาเกลียดใครมักจะไม่เกรงใจคนที่เขารัก ทำให้ตัวเองต้องลำบากแบบนี้” พระพยอมเทศนาถึงอาจารย์เจิมศักดิ์

อคติในใจที่พระพยอมกล่าวถึงอาจารย์เจิมศักดิ์นั้น ผมไม่รู้ว่าศีลหรือธรรมข้อไหน สาธุชนช่วยกันสดับด้วยตัวเองเถิด

แต่ที่ผมกลับเห็นด้วยกับคำพูดของพระพยอมก็คือที่พระพยอมเขียนในบทความเดียวกันนี้ว่า “ถึงแม้ว่าจะเป็นนักวิชาการ แต่เมื่อแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์อะไรที่ไม่เป็นกลาง แฝงด้วยความอคติออกมาบ่อยๆ ก็อาจเป็นภัยทำให้ตัวเองเดือดร้อนได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่บ้านเมืองแบ่งขั้วชัดเจน”

ผมเห็นด้วย เพราะผมคิดว่าพระพยอมพูดถึงนัยนี้โดยไม่ได้ระบุเจาะจงถึงอาชีพใดโดยเฉพาะ ดังนั้นถ้าผมเปลี่ยนคำว่า “นักวิชาการ” ในประโยคข้างบนนี้เป็น “พระ” ผมคิดว่าก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน

ประโยคนี้เลยเขียนใหม่ว่า “ถึงแม้ว่าจะเป็นพระ แต่เมื่อแสดงความเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์อะไรที่ไม่เป็นกลาง แฝงด้วยความอคติออกมาบ่อยๆ ก็อาจเป็นภัยทำให้ตัวเองเดือดร้อนได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่บ้านเมืองแบ่งขั้วชัดเจน”

ที่ผมขำอีกอย่างคือ พระพยอมท่านว่า อาตมาเคยทั้งพูดทั้งเขียนเตือนไว้ว่าคนรักทักษิณเวลาจะพูดจะคุย หรือทำอะไรอย่าออกหน้าออกตาโดยไม่เกรงใจคนที่เกลียด

ผมขำเพราะคิดว่า พระพยอมน่าจะนำคำพูดที่เทศนาสอนผู้อื่นมาเตือนตัวท่านเองด้วย

มาถึงเรื่องเช็คทำบุญที่ณัฐวุฒิเอามาเปิดเผย ทั้งพระพยอมทั้งณัฐวุฒิที่นำเช็คมาเปิดเผยต่างปฏิเสธพัลวัลว่าไม่เกี่ยวกับพระและวัด แต่คนเปิดเผยกลับพูดได้เป็นตุเป็นตะว่า ตอนก่อสร้างนั้นมีเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง

ผมไม่อยากปรักปรำพระ และพยายามเชื่อที่พระพยอมพูดว่า ท่านไม่รู้เรื่อง เพราะคิดว่าท่านเป็นพระ แต่ผมขอไม่เชื่อที่ณัฐวุฒิพูดเรื่องเดียวกัน เพราะไม่ใช่พระและโกหกมาแล้วหลายเรื่อง

คำชี้แจงเรื่องเช็คตอนหนึ่ง พระพยอมเขียนด้วยว่า “ตอนนั้น พล.อ.เปรม ก็ยังเป็นคนที่มีภาพลักษณ์สง่างามไม่เคยมีใครไปขุดคุ้ย ไม่มีใครไปพูดจาอะไรในทางที่ไม่ดีไม่งามกับท่าน ใครๆ ก็นับถือ”

หรือว่า “ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่รู้ว่าในทางกฎหมายแล้ว นักการเมือง องคมนตรี หรือข้าราชการ จะรับเงินหรือสิ่งของที่มีมูลค่ามากกว่าเท่าใดไม่ได้ ซึ่งไม่เคยรู้เลย และเมื่อไม่รู้เรื่องก็จะไปเอาเรื่องให้มันมาเป็นเรื่องไปทำไม”

จะเห็นว่า ข้อเขียน ลีลาและคำพูดของพระพยอมเต็มไปด้วยคำกระแนะกระแหน

วันนี้ผมได้ยินคนที่เคยไปทำบุญที่วัดสวนแก้ว พูดเหมือนประโยคที่พระพยอมพูดถึง พล.อ.เปรมเลยว่า “ตอนนั้นพระพยอม ก็ยังเป็นพระที่มีภาพลักษณ์สง่างามไม่เคยมีใครไปขุดคุ้ยไม่มีใครไปพูดจาอะไรในทางที่ไม่ดีไม่งามกับท่าน ใครๆ ก็นับถือ”

ผมนำคำเทศนาและลีลาของท่านมาปรับใช้ มีตรงไหนที่ผิดบ้างครับหลวงพ่อ
กำลังโหลดความคิดเห็น