ASTV ผู้จัดการรายวัน – ไออาร์พีซี พลิกสถานการณ์ปี 52 กำไรสุทธิกว่า 5.4 พันล้านบาท จากปีก่อนขาดทุน 1.8 หมื่นล้านบาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มเกือบ 130% ผลจากการลดต้นทุนขายหนุนให้กำไรขั้นต้นกว่า 1 หมื่นล้านบาท ด้านบอร์ดบริษัทฉวยจังหวะอนุมัติจ่ายปันผลทั้งปีหุ้นละ 0.18 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3.6 พันล้านบาท
นางสาวไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC กล่าวถึง ผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 5,415.50 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.27 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 18,261.87 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.93 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 23,677.37 ล้านบาท หรือ 129.65%
โดยบริษัทมีรายได้จากการขายรวม 166,036.38ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 78,657.49 ล้านบาท หรือคิดเป็น 32% ต้นทุนขายลดลง 101,745.08 ล้านบาท คิดเป็น 39% ทำให้มีกำไรขั้นต้น 10,015.61 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุนขั้นต้น 13,071.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23,087.59 ล้านบาท หรือ 177% สาเหตุหลักจากราคาตลาดน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยของปีนี้ อยู่ที่ 61.91 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 94.19 เหรียญ/บาร์เรล ลดลง 34% และผลจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง บริษัทจึงได้ลดปริมาณการกลั่นลง
ทั้งนี้ ในปี 2552 บริษัทมีระดับการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 141,907 บาร์เรลต่อวัน เทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 170,035 บาร์เรลต่อวัน ลดลง 17% นอกจากนี้ในปี 2552 บริษัทและบริษัทย่อยได้บันทึกกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือโดยหักออกจากต้นทุนขายเป็นจานวนเงิน 5,045 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2553 ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลประจำปีสำหรับผลการดำเนินงานปี 2552 ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 3,637 ล้านบาท คิดเป็น 67.17% ของกำไรสุทธิปี 2552 โดยที่บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการงวด 6 เดือนแรก (ม.ค. - มิ.ย.) ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2552 ทำให้คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายครึ่งปีหลัง (ก.ค. - ธ.ค.) ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาทต่อหุ้น กำหนดให้วันที่ 21 เมษายน 2553 เป็นวันให้สิทธิ ผู้ถือหุ้นในการรับเงินปันผล และปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 22 เมษายน 2553 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 พฤษภาคม 2553
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นวานนี้ (17 ก.พ.) ราคาได้ปรับตัวอยู่เหนือราคาปิดครั้งก่อน โดยปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 4.28 บาท ก่อนจะปรับตัวลดลงและปิดเท่ากับราคาปิดครั้งก่อนที่ 4.22 บาท มูลค่าการซื้อขายรวม 161.36 ล้านบาท
นางสาวไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC กล่าวถึง ผลการดำเนินงานประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 5,415.50 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.27 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 18,261.87 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.93 บาท หรือกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 23,677.37 ล้านบาท หรือ 129.65%
โดยบริษัทมีรายได้จากการขายรวม 166,036.38ล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 78,657.49 ล้านบาท หรือคิดเป็น 32% ต้นทุนขายลดลง 101,745.08 ล้านบาท คิดเป็น 39% ทำให้มีกำไรขั้นต้น 10,015.61 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุนขั้นต้น 13,071.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23,087.59 ล้านบาท หรือ 177% สาเหตุหลักจากราคาตลาดน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยของปีนี้ อยู่ที่ 61.91 เหรียญ/บาร์เรล ในขณะที่ปีที่ผ่านมาเฉลี่ยอยู่ที่ 94.19 เหรียญ/บาร์เรล ลดลง 34% และผลจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันลดลง บริษัทจึงได้ลดปริมาณการกลั่นลง
ทั้งนี้ ในปี 2552 บริษัทมีระดับการกลั่นน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 141,907 บาร์เรลต่อวัน เทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 170,035 บาร์เรลต่อวัน ลดลง 17% นอกจากนี้ในปี 2552 บริษัทและบริษัทย่อยได้บันทึกกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือโดยหักออกจากต้นทุนขายเป็นจานวนเงิน 5,045 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2553 ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลประจำปีสำหรับผลการดำเนินงานปี 2552 ในอัตราหุ้นละ 0.18 บาท คิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 3,637 ล้านบาท คิดเป็น 67.17% ของกำไรสุทธิปี 2552 โดยที่บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการงวด 6 เดือนแรก (ม.ค. - มิ.ย.) ในอัตราหุ้นละ 0.08 บาท เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2552 ทำให้คงเหลือเงินปันผลที่จะจ่ายครึ่งปีหลัง (ก.ค. - ธ.ค.) ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาทต่อหุ้น กำหนดให้วันที่ 21 เมษายน 2553 เป็นวันให้สิทธิ ผู้ถือหุ้นในการรับเงินปันผล และปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 22 เมษายน 2553 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 6 พฤษภาคม 2553
ด้านความเคลื่อนไหวราคาหุ้นวานนี้ (17 ก.พ.) ราคาได้ปรับตัวอยู่เหนือราคาปิดครั้งก่อน โดยปรับตัวแตะระดับสูงสุดที่ 4.28 บาท ก่อนจะปรับตัวลดลงและปิดเท่ากับราคาปิดครั้งก่อนที่ 4.22 บาท มูลค่าการซื้อขายรวม 161.36 ล้านบาท