ASTVผู้จัดการรายวัน – “ชุมพล” เตรียมเดินสายพบองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศกว่า 7 พันแห่ง บูรณาการอุตสาหกรรมท่องเที่ยวร่วมกัน พร้อมปัดฝุ่นศูนย์บริการและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่สนามบินสุวรรณภูมิ ชูเป้าหมายสร้างความสุขให้เกิดแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติให้มากที่สุด ยัน 26 ก.พ.ตัดสินนักโทษแม้ว ไม่กระทบท่องเที่ยว ที่ผ่านมาทุกคนได้บทเรียนจากการใช้ความรุนแรง ครั้งนี้จึงหลีกเลี่ยง ระบุเป็นปัญหาที่ตัวบุคคล
นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ขณะนี้เตรียมแผนการเดินสายพบปะกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศรวมกว่า 7,000 แห่ง เพื่อขอความร่วมมือให้ช่วยดูแล 3 ประเด็นหลัก ที่เกิดจากการท่องเที่ยว ได้แก่ 1.การทำลายสิ่งแวดล้อม 2.การกำจัดขยะและลดมลพิษ และ 3. ปัญหาด้านอาชญากรรม
ทั้งนี้จุดประสงค์ เพื่อสร้างความร่วมมือกันดูแลช่วยเหลือนักท่องเที่ยว และ การป้องกันไม่ให้การขยายตัวของท่องเที่ยวทำลายสภาพแวดล้อม ซึ่งหากมีวิธีการบริหารจัดการที่ดี จะก่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับความประทับใจของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่นั้นๆ
นอกจากนั้นยังมีแนวคิดฟื้นศูนย์บริการและช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากปัจจุบันที่ปิดดำเนินการมาแล้วกว่า 1 ปี ซึ่งความต้องการให้มีการจัดตั้งศูนย์บริการและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้ เพื่อสอดรับกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน
โดยสั่งการให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจท่องเที่ยว และ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย(ทอท.) เพื่อจัดตั้งศูนย์ฯดังกล่าวนี้โดยเร็ว
อาจจะมีการหมกเม็ดภถรืออาจจะเปนเรื่อง.อสมท จะทำการตอสัญญาสัมทปนช่อง 3 กั “สาเหตุที่ต้องปิดศูนย์ฯนี้ไปเพราะขาดงบประมาณ แต่เร็วๆนี้ได้ข่าวว่า ทอท. ก็ต้องการจะเปิดศูนย์นี้อีกครั้ง ซึ่งกระทรวงก็เห็นด้วย และน่าจะร่วมมือกันด้วยดี ศูนย์นี้จะทำหน้าที่ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว บริการให้ข้อมูล และรับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยว มุ่งหวังให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทย
เกิดความสุขและความประทับใจไม่ว่าจะอยู่จุดใดของประเทศ เพื่อจะได้นำเรื่องดีๆกลับไปบอกต่อ และกลับมาเที่ยวซ้ำ”
อย่างไรก็ตามเบื้องต้นสั่งการให้ ททท. ดำเนินการจัดทำป้ายขนาดใหญ่ ที่เคาน์เตอร์ ของ ททท. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีอยู่ 2 จุด เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวไปก่อนในช่วงที่อยู่ระหว่างการเตรียมจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือ
นายชุมพล กล่าวอีกว่า ไม่รู้สึกกังวลกับวันที่ 26 ก.พ.53 ซึ่งเป็นวันที่จะมีการพิจารณาตัดสินคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจมีผลด้านจิตวิทยาบ้าง แต่ในทางปฎิบัติเชื่อว่าต่างประเทศ เข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทยแล้ว ว่าปัญหาการเมืองของไทยที่เกิดขึ้นเป็นการเมืองส่วนบุคคล ไม่ใช่การเมืององค์รวม
และมาตรการที่รัฐบาลเตรียมไว้ใช้ก็เป็นเรื่องของบุคคล
“ผลการตัดสินของศาลในวันที่ 26 ก.พ.นี้จะส่งผลกระทบเฉพาะตัวบุคคลไม่ใช่มหาชน ซึ่งประเทศที่ออกแถลงการณ์แนะนำนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยนั้นเป็นการแนะนำให้หลีกเลี่ยงเดินทางไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการชุมนุมซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติและบริษัทนำเที่ยวเองก็ได้ปรับเปลี่ยนเส้นทางไปเดสติเนชั่นแหล่งท่องเที่ยวแทนที่จะเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ”
แต่อย่างไรก็ตาม ได้ให้ ททท.โดย ศูนย์ปฏิบัติการวางแผนการท่องเที่ยว และศูนย์ปฏิบัติการในภาวะวิกฤติ(ศวก.) ประสานกับสำนักงาน ททท.ในต่างประเทศทุกแห่ง เพื่อรายงานความเคลื่อนไหวภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายต่างสื่อที่อยู่ในต่างประเทศด้วย เพื่อจะได้ให้ข้อมูลข่าวสารที่ตรงกัน
ส่วนกระแสข่าวลือปฎิวัตินั้นไม่มีมูลความจริง เพราะขณะนี้ทุกฝ่ายมองเห็นแล้วว่า การปฎิวัติไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆได้ ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงซึ่งกันและกันไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ โดยให้ทุกฝ่ายมองประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ซึ่งหากมีเหตุไม่ปกติเกิดขึ้น อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกระทรวงการท่องเที่ยวฯจะเป็นแพะรับบาปนั้นโดยตรง
นายชุมพล ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ขณะนี้เตรียมแผนการเดินสายพบปะกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศรวมกว่า 7,000 แห่ง เพื่อขอความร่วมมือให้ช่วยดูแล 3 ประเด็นหลัก ที่เกิดจากการท่องเที่ยว ได้แก่ 1.การทำลายสิ่งแวดล้อม 2.การกำจัดขยะและลดมลพิษ และ 3. ปัญหาด้านอาชญากรรม
ทั้งนี้จุดประสงค์ เพื่อสร้างความร่วมมือกันดูแลช่วยเหลือนักท่องเที่ยว และ การป้องกันไม่ให้การขยายตัวของท่องเที่ยวทำลายสภาพแวดล้อม ซึ่งหากมีวิธีการบริหารจัดการที่ดี จะก่อให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับความประทับใจของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปในพื้นที่นั้นๆ
นอกจากนั้นยังมีแนวคิดฟื้นศูนย์บริการและช่วยเหลือนักท่องเที่ยว ที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากปัจจุบันที่ปิดดำเนินการมาแล้วกว่า 1 ปี ซึ่งความต้องการให้มีการจัดตั้งศูนย์บริการและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวขึ้นมาใหม่ในครั้งนี้ เพื่อสอดรับกับความต้องการของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการให้ความช่วยเหลือแก่นักท่องเที่ยวชาวจีน
โดยสั่งการให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ตำรวจท่องเที่ยว และ การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย(ทอท.) เพื่อจัดตั้งศูนย์ฯดังกล่าวนี้โดยเร็ว
อาจจะมีการหมกเม็ดภถรืออาจจะเปนเรื่อง.อสมท จะทำการตอสัญญาสัมทปนช่อง 3 กั “สาเหตุที่ต้องปิดศูนย์ฯนี้ไปเพราะขาดงบประมาณ แต่เร็วๆนี้ได้ข่าวว่า ทอท. ก็ต้องการจะเปิดศูนย์นี้อีกครั้ง ซึ่งกระทรวงก็เห็นด้วย และน่าจะร่วมมือกันด้วยดี ศูนย์นี้จะทำหน้าที่ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว บริการให้ข้อมูล และรับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยว มุ่งหวังให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทย
เกิดความสุขและความประทับใจไม่ว่าจะอยู่จุดใดของประเทศ เพื่อจะได้นำเรื่องดีๆกลับไปบอกต่อ และกลับมาเที่ยวซ้ำ”
อย่างไรก็ตามเบื้องต้นสั่งการให้ ททท. ดำเนินการจัดทำป้ายขนาดใหญ่ ที่เคาน์เตอร์ ของ ททท. ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมีอยู่ 2 จุด เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวไปก่อนในช่วงที่อยู่ระหว่างการเตรียมจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือ
นายชุมพล กล่าวอีกว่า ไม่รู้สึกกังวลกับวันที่ 26 ก.พ.53 ซึ่งเป็นวันที่จะมีการพิจารณาตัดสินคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งอาจมีผลด้านจิตวิทยาบ้าง แต่ในทางปฎิบัติเชื่อว่าต่างประเทศ เข้าใจสถานการณ์ของประเทศไทยแล้ว ว่าปัญหาการเมืองของไทยที่เกิดขึ้นเป็นการเมืองส่วนบุคคล ไม่ใช่การเมืององค์รวม
และมาตรการที่รัฐบาลเตรียมไว้ใช้ก็เป็นเรื่องของบุคคล
“ผลการตัดสินของศาลในวันที่ 26 ก.พ.นี้จะส่งผลกระทบเฉพาะตัวบุคคลไม่ใช่มหาชน ซึ่งประเทศที่ออกแถลงการณ์แนะนำนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้ามาประเทศไทยนั้นเป็นการแนะนำให้หลีกเลี่ยงเดินทางไป 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย และ หลีกเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่ที่มีการชุมนุมซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติและบริษัทนำเที่ยวเองก็ได้ปรับเปลี่ยนเส้นทางไปเดสติเนชั่นแหล่งท่องเที่ยวแทนที่จะเดินทางเข้ามากรุงเทพฯ”
แต่อย่างไรก็ตาม ได้ให้ ททท.โดย ศูนย์ปฏิบัติการวางแผนการท่องเที่ยว และศูนย์ปฏิบัติการในภาวะวิกฤติ(ศวก.) ประสานกับสำนักงาน ททท.ในต่างประเทศทุกแห่ง เพื่อรายงานความเคลื่อนไหวภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายต่างสื่อที่อยู่ในต่างประเทศด้วย เพื่อจะได้ให้ข้อมูลข่าวสารที่ตรงกัน
ส่วนกระแสข่าวลือปฎิวัตินั้นไม่มีมูลความจริง เพราะขณะนี้ทุกฝ่ายมองเห็นแล้วว่า การปฎิวัติไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาใดๆได้ ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงซึ่งกันและกันไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ โดยให้ทุกฝ่ายมองประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ซึ่งหากมีเหตุไม่ปกติเกิดขึ้น อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและกระทรวงการท่องเที่ยวฯจะเป็นแพะรับบาปนั้นโดยตรง