xs
xsm
sm
md
lg

ผ่าเครือข่ายหางแดง รุมแย่งชามข้าว “พระเจ้ามูลเมือง”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


การเปิดสงครามสาวไส้กันเองระหว่าง “พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี” และ “นายจตุพร พรหมพันธุ์” รวมทั้งกรณี “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” และ “คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์” นั้น คงต้องบอกว่าเป็นเพียงพฤติกรรมหวงชามข้าวของตัวเองอย่างหน้ามืดตามัว กระทั่งตัดสินใจห้ำหั่นกันเองด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความ “ดิบ เถื่อน ถ่อย” โดยไม่หวั่นว่าเจ้าของชามข้าวจะอับอายขายขี้หน้าขนาดไหน

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงโหมโรงอันน้อยนิดซึ่งแสดงให้เห็นถึงความแตกแยกที่ดำรงอยู่ในกลุ่มคนเสื้อแดงเท่านั้น เพราะต้องยอมรับว่า กลุ่มคนที่ยืนอยู่เคียงข้าง “นช.ทักษิณ ชินวัตร” ทุกวันนี้ ไม่ได้มีความเป็นเอกภาพทางด้านอุดมการณ์ หากแต่เข้ามาเพื่อต้องการแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองและพวกพ้อง ดังเช่นที่นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีได้ออกมาแฉว่ามีเงินจำนวนมากถูกโอนจาก 2-3 เส้นทางทั้งประเทศตะวันออกกลางและในประเทศมาเข้าบัญชีบุคคลที่เป็นแกนนำระดับสูงของกลุ่มเสื้อแดงฮาร์ดคอร์
บางคนเข้ามาเพราะอยากอาศัยบารมีของนช.ทักษิณที่ยังหลงเหลืออยู่เพื่อที่จะผลักดันตัวเองให้เป็น ส.ส.หรือที่เรียกว่า “แดงบ้าอำนาจ”
บางคนเข้ามาเพราะอยากดัง อยากมีชื่อเสียง หรือที่เรียกว่า “แดงดารา”
บางคนเข้ามาเพราะหวังในทรัพย์สินเงินทองที่นช.ทักษิณจะหยิบยื่นให้ หรือที่เรียกว่า “แดงสู้แล้วรวย”
บางคนเข้ามาเพราะต้องการทำตามความฝันที่ยังทำไม่สำเร็จในอดีต หรือที่เรียกว่า “แดงคอมมิวนิสต์หลงยุค”
ขณะเดียวกัน เมื่อผลประโยชน์ขัดกัน แดงแต่ละกลุ่มก็พร้อมที่จะห้ำหั่นเข้าใส่กันอย่างลืมตาย กระทั่งมีการกล่าวหากันเองว่า กูคือแดงแท้ เอ็งเป็นแดงเทียม แต่ฉับพลันทันทีที่นายใหญ่มีบัญชาการ คนพวกนี้ก็พร้อมที่จะกลับไปจูบปากคืนดีกันอีกครั้ง

-1-
แดงสู้แล้วรวย
กลุ่มคนเสื้อแดงที่สังคมรู้จักกันดีกลุ่มแรกเห็นจะหนีไม่พ้นกลุ่มที่รู้จักกันดีในชื่อของ “แดงสู้แล้วรวย” ซึ่งประกอบไปด้วยบุคคลสำคัญ 3 คนด้วยกันคือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายวีระ มุสิกพงศ์ หรือที่รู้จักกันในนามของ “3 เกลอหัวขวด”
หากสืบสาวราวเรื่องย้อนอดีตกลับไปดูเส้นทางชีวิตของแต่ละคนแล้วนำมาเทียบกับสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้น คงต้องบอกว่า ไม่ต่างอะไรกับละครน้ำเน่าที่นางเอกเป็นเด็กในสลัมแล้วก็มาพบรักพระเอกที่เป็นเจ้าชายผู้สูงศักดิ์ แล้วแต่งงานกัน กลายเป็นผู้หญิงที่คนทั้งโลกอิจฉา
ชีวิตของ 3 เกลอหัวขวดก็ไม่แตกต่างกัน
นายจตุพรเมื่อครั้งเป็นนักศึกษาก็ยากจนข้นแค้นต้องแบมือขอเงินทุกคนที่เดินผ่านหน้า จากที่เคยปูเสื่อนอนงีบในที่ทำการพรรคศรัทธาธรรม พักอยู่ในห้องเล็กๆ ย่านหน้าราม แต่เวลานี้เขากลายเป็นผู้ร่ำรวยและเต็มไปด้วยทรัพย์ศฤงคารสารพัด ทั้งบ้าน รถยนต์ และแฟนสวย
โดยเฉพาะบ้านนั้น นายจตุพรให้สัมภาษณ์ยอมรับกับปากตัวเองว่า ได้ซื้อบ้านในโครงการของ “บริษัทเอสซี แอสเซทฯ” ด้วยราคาที่สูงถึง 2 ล้านกว่าบาท ในย่านวัชรพล แถมยังซื้อด้วยเงินสดๆ อีกต่างหาก
ส่วนพี่ใหญ่อย่าง “นายวีระ” ก็ยิ่งแล้วไปกันใหญ่ เพราะเมื่อศาลล้มละลายกลางลงประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ลงในราชกิจจานุเบกษาวันที่ 29 กรกฎาคม 2551 ตามหมายเลขแดงที่ ล.4464/2551 ซึ่งมีธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ ได้คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของจำเลย เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2551 ที่ผ่านมา เขาก็ไม่มีทีท่าว่าอนาทรร้อนใจแต่ประการใด แถมยังมีข้อมูลด้วยว่า มีญาติโกโหติกาที่ใกล้ชิดคนหนึ่งดอดไปซื้อที่ดิน 600 ตารางวาย่านดอนเมือง กรุงเทพฯ ในราคา 9.2 ล้านบาท
ญาติโกโหติกาของนายวีระไปร่ำรวยเงินทองมาจากไหนถึงได้ซื้อที่ดินราคาเกือบสิบล้านบาทได้ เพราะการเป็นมือกีตาร์ให้กับวงดนตรีนอกกระแส ไม่น่าจะทำให้เขามีเงินมากขนาดนี้
เช่นเดียวกับ “นายณัฐวุฒิ” ที่มีบ้านหรูร่วม 10 ล้านบาทในหมู่บ้านเศรษฐสิริ ย่านสนามบินน้ำและใช้รถยนต์ราคาแพงไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท
แหล่งข่าวทางด้านความมั่นคงรายหนึ่งให้ข้อมูลที่น่าสนใจว่า ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า แกนนำคนเสื้อแดงใช้รถยนต์ยี่ห้อและรุ่นเดียวกันเสียเป็นส่วนใหญ่ นั่นคือ “โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์” แต่ที่แปลกใจกว่านั้นก็คือ ถ้าหากไปดูวันและเวลาที่ “ซื้อรถ” ปรากฏว่ารถเหล่านี้ถูกซื้อมาวันเดียวกันทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ต้องเฉลย ทุกคนก็คงสามารถคาดเดาได้ว่า ใครเป็นผู้ซื้อให้
หากยังจำกันได้ “นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ”  ส.ว.สรรหา เคยตรวจสอบความผิดปกติเกี่ยวกับการถือหุ้นของบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ จำกัด ของ 3 เกลอหัวขวดว่า ทั้ง 3 คนมีหุ้นอยู่ในบริษัททีวีแห่งนี้จนน่าตกใจ กล่าวคือ นายณัฐวุฒิ ถือหุ้น 200,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท รวมเป็น 20 ล้านบาท นายจตุพร 100,000 หุ้น เป็นเงิน 10 ล้านบาท และนายวีระ 100,000 หุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท
3 เกลอหัวขวดได้เงินมากมายมหาศาลมาจากไหน ถึงได้นำมาซื้อหุ้นบริษัทดังกล่าวได้        

-2-
แดงคอมมิวนิสต์หลงยุค
แกนนำคนเสื้อแดงอีกกลุ่มหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ “กลุ่มแดงคอมมิวนิสต์หลงยุค แกนนำของคนกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่เป็นผู้ฝักใฝ่ในแนวทางของพรรคคอมมิวนิสต์ และเป็นผู้ที่เคยเข้าป่าไปร่วมงานกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในช่วงเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519
ชื่อของคนพวกนี้ที่สังคมรู้จักกันดีก็อย่างเช่น นพ.เหวง โตจิราการ นายจักรภพ เพ็ญแข นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นายเกรียงกมล เลาหไพโรจน์ นายภูมิธรรม เวชชชัย นายสุรชัย แซ่ด่าน นายอดิศร เพียงเกษ ฯลฯ
พวกเขาถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ทรงอิทธิพลในการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง รวมทั้งระดับนำบางคนมีความใกล้ชิดกับ นช.ทักษิณ และเชื่อได้ว่า เป็นกุนซือคนสำคัญให้กับอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ ดังจะเห็นได้จากยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีและชุดถ้อยคำต่างๆ ที่ออกมาเพื่อโค่นล้มรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และทำลาย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ
ถ้าจะว่าไปแล้ว คนพวกนี้น่าจะไม่ใช่ผู้ที่ศรัทธาในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เท่าใดนัก เพราะหากเป็นมาร์กซิสต์ของจริงแล้ว พวกเขาไม่น่าที่จะไปสุมหัวทำงานร่วมกับนช.ทักษิณที่สังคมรับรู้กันว่า เป็นซูเปอร์นายทุนนิยมสามานย์ที่อยู่ในขั้วตรงกันข้ามกับคอมมิวนิสต์โดยสิ้นเชิง ดังนั้น ส่วนหนึ่งของคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นคอมมิวนิสต์ปลอมที่ต้องการแสวงหาอำนาจทางการเมือง ขณะที่อีกส่วนหนึ่งน่าจะจัดให้อยู่ในกลุ่มของ “พวกซ้ายอกหัก” ที่ต้องการสานต่อเจตนารมณ์ที่ทำไม่สำเร็จในช่วงวัยหนุ่มของชีวิตโดยไม่คำนึงถึงวิธีการและรูปแบบ

-3-
แดงดารา
แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงที่น่าสนใจอีกกลุ่มหนึ่งน่าจะเป็นแดงที่รู้จักกันในชื่อของ “แดงดารา” พวกที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้และมีพฤติกรรมไปในทำนองนี้ชัดๆ ก็เห็นจะเป็น “เด็จพี่-นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” และ “เด็จน้อง” อย่าง “นายจิรายุ ห่วงทรัพย์”
คนพวกนี้ หากย้อนหลังกลับไปดูพฤติกรรมแต่เก่าก่อนจะเห็นได้ว่า ต่อให้เกิดและตายอีกสิบชาติก็ไม่เป็นที่รู้จักของสังคมมากมายขนาดนี้ เป็นเพียงอดีตดาราตกอับที่ไม่สามารถทำมาหากินอะไรได้ หรือไม่ก็เป็นผู้สื่อข่าวที่ใครๆ ก็รู้เช่นเห็นชาติถึงเบื้องหลังกันอย่างเอือมระอา แต่ในยุคที่ต้องการการเลือกข้าง พวกเขาก็เลือกที่จะไปยืนอยู่ข้าง นช.ทักษิณ เพียงหวังถีบตัวเองให้เป็นดารานำหรือเป็นนักการเมืองที่คนรู้จักทั้งประเทศ
หวังเพียงแค่การปรากฏหน้าตาทางสื่อต่างๆ โดยเฉพาะทางจอโทรทัศน์เพื่อให้ประชาชนที่หน้ามืดตามัวคุ้นหน้าคุ้นตามากขึ้น สามารถพล่ามถึงเหตุการณ์ได้ทุกเรื่องราวกับเป็นกูรูที่มีความเชี่ยวชาญ ไม่ได้เป็นพวกที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแต่ประการใด

-4-
แดงฮาร์ดคอร์
ในช่วงที่การทำศึกในสงครามครั้งสุดท้ายก่อนและหลังคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านของนช.ทักษิณใกล้เข้ามาทุกที แกนนำของคนกลุ่มที่ขอใช้ชื่อว่า “แดงสายเหยี่ยว” หรือ “แดงฮาร์ดคอร์” นั้น ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ
คนเสื้อแดงกลุ่มนี้ สามารถอนุมานได้จากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาได้ว่า เป็นพวกที่นิยมใช้ความรุนแรง เช่น นายสุพร อัตถาวงศ์ที่นำคนเสื้อแดงไปไล่ฆ่านายอภิสิทธิ์ที่กระทรวงมหาดไทยในช่วงสงกรานต์เลือด นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรองที่นำคนเสื้อแดงไปทำลายการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยาจนพังพินาศ รวมกระทั่งถึงนายขวัญชัย ไพรพนา เพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลและพล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี ที่ไม่ต้องยกตัวอย่างทุกคนก็รู้ว่า พฤติกรรมของคนพวกนี้เป็นอย่างไร
กลุ่มคนพวกนี้ ความจริงถ้าจะว่าไปแล้ว น่าจะเป็นเนื้อเดียวกับกลุ่มแดงสู้แล้วรวยเสียด้วยซ้ำไป เพียงแต่ในระยะหลังเพื่อต้องการช่วงชิงการนำ และต้องการเม็ดเงินจากนายใหญ่เข้ากระเป๋า ทำให้กลุ่มนี้ต้องแตกออกมา ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือกรณีของ พล.อ.พัลลภ และพล.ต.ขัตติยะ

-5-
แดงบ้าอำนาจ
เสื้อแดงกลุ่มสุดท้ายที่มิอาจไม่เอ่ยถึงได้ก็คือ กลุ่มเสื้อแดงที่เป็นสมาชิกของพรรคเพื่อไทย พรรคที่ไร้หัวไร้หางและไร้คนบัญชาการในระบบ กระทั่งไม่สามารถหาคนขึ้นมาทำหน้าที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรได้ หรือแม้กระทั่งจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลก็ไม่สามารถเสนอชื่อคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะศูนย์กลางอำนาจของพรรคเพื่อไทยนั้นขึ้นอยู่กับนช.ทักษิณเพียงคนเดียว ถ้าหากนายใหญ่ไม่สั่งการอะไรลงมา ทุกอย่างก็จบ
คนกลุ่มนี้เป็นคนพันธุ์พิเศษที่มิรู้ร้อนรู้หนาวกับสถานการณ์ของบ้านเมือง พวกเขามาอยู่รวมกันเพราะเล็งเห็นถึงความร่ำรวยและเงินทองจำนวนมหาศาลของนช.ทักษิณเพียงประการเดียวเท่านั้น
บุคคลที่โดดเด่นที่อาจจัดอยู่ในจำพวกนี้ก็อย่างเช่น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ บรรดาทหารแก่เตรียมทหาร 10 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ฯลฯ
และปิดท้ายกับกลุ่มแดงอีกกลุ่มที่ดูเหมือนว่าจะแรงขึ้นทุกทีก็คือ “แดงเขมร” ที่นำทัพโดย “นายฮุนเซน” และภรรยาสุดที่รัก “นางบุนรานี” ที่เคลื่อนไหวก่อกวนอยู่ตามแนวชายแดนไทย-เขมร พร้อมกับสำรากด่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะด้วยชุดถ้อยคำเดียวกับกลุ่มคนเสื้อแดงในประเทศไทยอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
และทั้งหมดนั้นคือสภาพความจริงที่ดำรงอยู่ในกองกำลังของนช.ทักษิณ ซึ่งเชื่อว่า ในอีกไม่ช้าเมื่อนายใหญ่ของพวกเขาถูกรีดเลือดจนไม่เหลือแล้ว เห็บหมัดเหล่านี้ก็จะตีจากไป และจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์กัดกันในทำนองนี้ให้สังคมได้เห็นกันอย่างสนุกสนานและสำราญใจ ชนิดที่ทำให้ดัชนีความสุขคนไทยพุ่งปรี๊ดต่อเนื่องเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม สังคมก็ไม่อาจประมาทศักยภาพของคนเสื้อแดงได้ เพราะด้วยความที่ต่างฝ่ายต่างมาด้วยผลประโยชน์ เมื่อมาอยู่รวมกัน กระแสความคลุ้มคลั่งของพวกเขาที่ไร้การควบคุมที่เป็นระบบอาจก่อให้เกิดการจลาจลเผาบ้านเผาเมืองเหมือนเมื่อครั้งเกิดเหตุการณ์สงกรานต์เลือดได้
กำลังโหลดความคิดเห็น