ศูนย์ข่าวขอนแก่น-กว่า 2 ปีเศษที่ “กมล เหล่าโสภาพันธ์” ถูกอุ้มหายไปกับความมืดขณะอยู่บนโรงพักบ้านไผ่ เจ้าหน้าที่ตำรวจขอนแก่นยังตามสืบหาเบาะแสไม่ได้ ขณะที่ดีเอสไอ ที่เข้ามารับคดีต่อก็ยังควานหาคนร้ายไม่เจอ ซึ่งหลังการหายตัวไปของนายกมล ลูกๆและภรรยาต้องขาดเสาหลักของบ้าน จนลูกชายคนโตต้องตัดสินใจออกจากงาน เปิดร้านขายข้าวมันไก่เลี้ยงแม่และน้องชายแทน
ร่วม 2 ปี ที่นายกมล เหล่าโสภาพันธ์ ชาวอ.บ้านไผ่ จ.ขอนแก่น เครือข่ายภาคประชาชนต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อค่อนดึกวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 จนวันนี้....ยังไม่รู้ชะตากรรมว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ความคืบหน้าทางคดีไม่กระดิก ญาติๆ ต้องทำใจหมดปัญญาจะเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ทั้งหน่วยงานในพื้นที่และส่วนกลาง
ขณะที่สมาชิกครอบครัว “เหล่าโสภาพันธ์” เมื่อขาดเสาหลักไป ก็ต้องเปลี่ยนแปลง ปรับวิถีชีวิตเพื่อให้อยู่รอด ภาระความรับผิดชอบต่างๆต้องตกอยู่กับ อัครวินทร์ ลูกชายคนโต เขาต้องดูแลร้านขายเครื่องดื่มเล็กๆที่พ่อทิ้งไว้อย่างกะทันหันเพื่อหารายได้เลี้ยงดูแม่และน้องชาย ซึ่งกำลังศึกษา ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
“...ถ้าเป็นไปได้ตอนนี้ผมอยากกอดอะป๊า ... อยากบอกว่าคิดถึงเขามาก ป๊าหายไปนานแล้วนะ อยากบอกว่าผมยังรอเขาอยู่ ทุกคนยังรออะป๊าอยู่” อัครวินทร์ หรือเต้ เล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเมื่อพูดถึงพ่อ พ่อที่เป็นคนดีของสังคม พ่อเป็นคนไม่ยอมใครหากสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง ผิดไปจากครรลองคลองธรรม เต้เชื่อว่าหากคนในสังคมมีคุณธรรม จริยธรรมมากกว่านี้ ต่างร่วมตรวจสอบกลุ่มคนขี้ฉ้อ เพื่อรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม คนจะกล้าทำความดีกันมากขึ้น และเขาเชื่อว่าคนที่กล้าทำความดี จะไม่ตกอยู่ในชะตากรรมเช่นเดียวกับพ่อ
กมล เหล่าโสภาพันธ์ บุคลิกโผงผาง ตรงไปตรงมา เคลื่อนไหวตรวจสอบข้อมูลที่ไม่โปร่งใส เข้าข่ายทุจริตหลายๆ กรณี ในพื้นที่อำเภอบ้านไผ่ จ.ขอนแก่น ทั้งในฐานะสมาชิกเครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชัน และในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ไม่ต้องการเห็นความไม่ถูกต้องในบ้านเมือง
นายกมลเข้า-ออกสถานีตำรวจภูธรบ้านไผ่บ่อยครั้ง เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีที่เขาแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าพนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ไว้ อันเกี่ยวเนื่องกับการเช่าที่ดินการรถไฟฯ ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ ที่นายกมลเห็นว่ามีการกระทำผิด พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522
หลักฐานที่เขารวบรวมได้ระบุชัดว่ามีความไม่โปร่งใสหลายประเด็น จนนำมาซึ่งการร้องเรียนอีกหลายคดี เกี่ยวโยงทั้งผู้รับเหมา เจ้าพนักงานเทศบาลเมืองบ้านไผ่ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ จนกลางดึกวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551เขาจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยขณะที่ติดตามคดีแจ้งความเอาผิดกับ ผกก.สภ.บ้านไผ่
หลังจากนั้น 1 เดือน มีผู้แจ้งพบรถยนต์เก๋ง ที่หายไปพร้อมนายกมล แต่ในทางคดีไม่คืบ และกระทั่งคดีนี้ เข้าสู่กระบวนการสืบสวนสอบสวนของDSI เมื่อราวกลางปีแล้ว แต่จนถึงวันนี้ ก็ยังไร้วี่แววที่จะได้เบาะแสคนร้ายที่อุ้มเขาหายไปกับความมืดในคืนนั้น
ขาดพ่อแต่ต้องสู้...เปิดร้านขายข้าวมันไก่
อาคารพาณิชย์ที่ถนนอำมาตย์ ในตัวเมืองขอนแก่น ใกล้สถานีรถปรับอากาศที่พ่อแม่ซื้อไว้หวังเป็นมรดกให้ลูกชายสองคนใช้เปิดบริษัทประกอบกิจการส่วนตัวในอนาคต เมื่อชีวิตต้องพลิกผัน ในราวปลายปีที่ผ่านมา อัครวินทร์ หรือ เต้ จึงตัดสินใจปรับปรุงอาคารนี้ เปิดร้านข้าวมันไก่ หวังเป็นอาชีพหลัก ดูแลสมาชิกในครอบครัว ให้ทุกชีวิตได้ตั้งหลักหลังหัวหน้าครอบครัวหายไป
สำหรับเต้ จากที่เคยทำงานบริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมายที่กรุงเทพฯ หลังจบการศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต้องกลับมาดูแลกิจการจำหน่ายเครื่องดื่มปลีก-ส่ง แทนพ่อ พร้อมเป็นเสาหลักให้น้องชายคนเดียวฝ่าฟันความเจ็บปวดในใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้
จนวันนี้ เต้ ตัดสินใจค่อยๆ ลดขนาดร้านขายปลีก-ส่งเครื่องดื่มที่อำเภอบ้านไผ่ ซึ่งต้องใช้เงินทุนสูง เพื่อทำใจและเตรียมเลิกกิจการในอนาคตอันใกล้ หันมาเป็นพ่อค้าข้าวมันไก่ ในขอนแก่นดูแลความเรียบร้อยภายในร้านและเป็นเด็กเสิร์ฟเอง
“ตอนนี้ผมหมดห่วงไปบ้าง เรื่องน้องชายแล้วเพราะเขาสอบติดนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ อยู่ชั้นปี 1 แล้ว แต่ที่ผมกับน้องชายห่วงมากตอนนี้คือสภาพจิตใจของคุณแม่ที่ต้องขาดคู่ชีวิต ซึ่งเคยอยู่เคียงข้างกัน มากว่า 20 ปี ทุกวันนี้คุณแม่เขายังทำใจไม่ได้”อัครวินทร์ เล่าความในใจและย้ำว่าเขาจะเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนพ่อให้ดีที่สุด
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับครอบครัว”เหล่าโสภาพันธ์” นั้นถือเป็นภาระหนักสำหรับชายหนุ่มวัย 27 ปี ที่ต้องนำพาครอบครัวให้ก้าวข้ามความทุกข์ในใจและเดินไปข้างหน้าให้ได้ แต่เต้ก็บอกว่าเขาสู้ไหวและอยากสื่อไปถึงพ่อให้ได้เห็นความเข้มแข็งของทุกคนในครอบครัว หากพ่อรับรู้จะได้หมดห่วง
การลุกขึ้นต่อสู้กับความไม่ถูกต้องของนายกมล แม้จะเป็นบาดแผลสำหรับคนในครอบครัว แต่ลูกชายของนักต่อสู้ภาคประชาชนผู้นี้ก็ยังหวัง ที่จะเห็นคนในสังคมมีนายกมล เหล่าโสภาพันธ์ เป็นแบบอย่าง กล้ารักษาผลประโยชน์ส่วนรวมของบ้านเมือง ไม่ปล่อยให้การทุจริตเป็นเรื่องปกติ