ASTVผู้จัดการรายวัน - สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านสุรินทร์ตึงเครียดหนักอีกพบทหารเขมรระดมเสริมกำลังพร้อมอาวุธหนักทั้งรถถัง-ปืนใหญ่-ปืนต่อสู้อากาศยานเข้าประชิดปราสาทตาเมือนธม-ตาควาย พร้อมเตือนคนกัมพูชาอย่าเข้าใกล้ชายแดน ขณะกองกำลังสุรนารีสั่งทหารไทยตรึงกำลัง “ตาเมือนธม” ด้าน “มาร์ค” มั่นใจไม่เสียดินแดนซัด”ฮุนเซน” ตะแบง
วานนี้ (10 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ โดยเฉพาะพื้นที่พิพาทบริเวณปราสาทตาเมือนธม บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ วานนี้ได้ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้งโดยทหารกัมพูชาได้เสริมกำลังพร้อมอาวุธหนัก ทั้งปืนใหญ่ ปืนกลต่อสู้อากาศยาน และรถถังอีกจำนวน 6 คันเข้ามายังบ้านโอร์รุมจอง หรือเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบ้านตาเมือน ต.โคกหมอน อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย ห่างจากชายแดนไทยด้านปราสาทตาเมือนธม เพียง 6 กิโลเมตร (กม.)
นอกจากนั้นยังเสริมกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือ อีกกว่า 300 นาย วางกำลังประชิดชายแดนไทยตลอดแนวใกล้กับปราสาทตาเมือนธม
**ทภ.2สั่งตรึงกำลังพร้อมอาวุธ
ขณะที่ฝ่ายทหารไทย กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งตรึงกำลังพร้อมอาวุธหนัก เข้าประชิดชายแดนเพื่อปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่เช่นกัน รวมทั้งยังคงปิดเส้นทางเข้าปราสาทตาเมือนธม ห่างจากตัวปราสาท 200 เมตรห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปปราสาทตาเมือนธม อย่างเด็ดขาด รวมถึงไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนให้ขึ้นไปบันทึกภาพในบริเวณปราสาทตาเมือนธมด้วย เพราะเกรง จะไม่ได้รับความปลอดภัยจากสถานการณ์ความตึงเครียดทางทหารดังกล่าว
นอกจากนี้ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านปราสาทตาควาย บ้านไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมออกไปทางด้านทิศตะวันออกราว 13 กิโลเมตร ตรงข้ามกับบ้านทะมอโดน ต.โคกหมอน อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชาพบว่า ทหารกัมพูชาได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังพร้อมอาวุธหนัก จากบ้านปะอง อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย เข้ามายังฐานปฏิบัติการบ้านทะมอโดนเป็นจำนวนมากทำให้กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ชุดทหารพราน กรมทหารพรานที่ 26 และกรมทหารราบเฉพาะกิจที่ 23 เข้าตรึงกำลังในพื้นที่ชายแดนด้านนี้อย่างเต็มที่เช่นกัน และให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
**เขมรเตือนพลเมืองพ้นพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าเป็นที่สังเกตวานนี้ทางการกัมพูชาได้ประกาศเตือนประชาชนชาวกัมพูชาไม่ให้เข้าใกล้เขตพื้นที่ชายแดนในช่วงนี้ โดยอ้างเหตุผลเรื่องความไม่ปลอดภัย ซึ่งได้สร้างความวิตกกังวลให้กับชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนเป็นอย่างมากว่า การระดมพลเสริมกำลังเข้าประชิดชายแดนไทยด้านปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายอย่างผิดปกติของทหารกัมพูชาดังกล่าวเป็นสัญญาณที่จะนำไปสู่จุดแตกหักหรือเปิดฉากปะทะกันขึ้นในเร็วๆ นี้ สอดรับกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่ร้อนแรงในประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ส่วนบรรยากาศการค้าชายแดนที่บริเวณด่านผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องจอม-โอร์เสม็ด ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ วานนี้เงียบเหงาลงไปมากมีประชาชนชาวกัมพูชาเดินทางผ่านเข้า-ออก บางตา แม้แต่นักแสวงโชคชาวไทยที่เข้าไปเล่นการพนันในบ่อนกาสิโนชายแดน ฝั่งประเทศกัมพูชาก็ลดจำนวนลงมากเช่นกัน เหลือประมาณ 300 คน จากเดิมช่วงวันปกติมีประมาณ 500-800 คน/วันและหนาแน่นวันหยุดช่วงเทศกาลและวันเสาร์-อาทิตย์ ระดับมากกว่า 1,000 คน/วันขึ้นไป
***ชาวบ้านผวาสงครามซ้ำรอย
ขณะที่ชาวบ้านหนองคันนา ม.8 ต.ตาเมียง ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมประมาณ 6-7 กม. มีราษฎรอาศัยอยู่ 250 หลังคาเรือน ยังวิตกกับเหตุการณ์เหตุการณ์ หลังจากที่สมเด็จฮุน เซนมาเปิดหมู่บ้านที่โอรูมจงและเปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้าน “ตาเมือน” เหมือนกับหมู่บ้านของไทย และกลุ่มปราสาทตาเมือน พร้อมกับเปิดที่ทำการกองพันทหารชายแดนที่ 422 และเปิดก่อสร้างถนนเข้ามาติดประสาทตาเมือนธม จนทำให้ชาวบ้านไม่กล้าออกไปทำไร่-ทำนาตามพื้นที่บริเวณชายแดนได้เหมือนปกติ พร้อมกับได้ติดตามสถานการณ์ทางทีวี วิทยุ และหนังสือพิมพ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งชาวบ้านทุกคนได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดสงครามเหมือนในอดีต
ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ร้อนระอุอยู่ในขณะนี้โดยเฉพาะการออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวรุนแรงกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่องของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้นำที่สามารถสั่งประเทศกัมพูชาหันซ้ายขวาหรือเดินหน้าถอยหลังได้ทุกเวลา
**"มาร์ด"ซัด"ฮุนเซน"ตะแบง
เมื่อเวลา 15.00 น.วานนี้ (10 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เตรียมหยิบยกกรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนบริเวณรอบปราสาทพระวิหารขึ้นสู่ศาลโลกว่า เรายังไม่ทราบว่าจะมีการดำเนินการลักษณะไหนหรือไม่อย่างไร แต่จริงๆ ในส่วนของกระทรวงที่เกี่ยวข้องเขาเตรียมเรื่องข้อกฎหมาย เพราะจริงๆ แล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เอาขึ้นไปได้ เพราะการวินิจฉัยของศาลโลกเมื่อครั้งโน้นได้วินิจฉัยเรื่องขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตัวเองไว้เรียบร้อย ฉะนั้น สิ่งใดที่เขาไม่ได้วินิจฉัยมาในอดีตก็คือ เห็นว่าไม่เป็นอำนาจที่จะวินิจฉัยอยู่แล้ว
ส่วนจะทำให้เป็นการเพิ่มสถานการณ์เพื่อนำไปสู่ศาลโลกหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยังมองไม่เห็นเงื่อนไข ส่วนในสถานะที่กำลังจะมีการพิจารณาเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารในเดือนกรกฎาคมนั้น เรื่องนี้เราได้เตรียมอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเช้าวันที่ 10 ก.พ.ได้ซักซ้อมกับกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายจะมีกระทรวงยุติธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนนี้จะมีการปรึกษาหารือกันตลอด เพราะเรารู้ว่าจะมีขั้นตอนของการดำเนินการต่างๆ
เมื่อถามว่า ปัญหาความสับสนทางเอกสารที่ทางกัมพูชามีการเผยแพร่ผ่านทางเว็ปไซด์ไปก่อนนี้จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องแผนที่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในอดีตเขาก็เคยทำอย่างนี้มา แต่เราจะดูจากเอกสารที่เป็นทางการที่ยื่นเข้าไปทั้งหมด
เมื่อถามต่อว่าวันนี้มีความคาดหวังได้มากน้อยแค่ไหนกับการคัดค้านเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าเราอยู่กับเหตุกับผล และเราได้ติดตามตั้งแต่ครั้งที่มีการพิจารณา โดยมีความเห็นของคณะผู้เชี่ยวชาญต่างๆ คิดว่าหลายสิ่งเราได้สะท้อนผ่านไปยังองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งยูเนสโก้ไปแล้วว่าการขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวลักษณะนี้จะเป็นปัญหาอย่างมากและไม่น่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กร ส่วนเขาจะฟังมากน้อยแค่ไหน เราก็ต้องพยายามชี้แจงเหตุผลไป
“ผมคิดว่า เราทำดีที่สุดและเชื่อว่าเหตุผลของเราก็ชัดเจน จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ละเลยในเรื่องนี้แน่นอนและยังไม่คิดว่า จะเป็นเรื่องเลวร้าย เป็นเรื่องที่ผมคิดว่า เราต้องนำเสนอให้เป็นระบบเข้มแข็ง ซึ่งก็มีการเตรียมการอยู่ เรื่องการสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรไม่มี ยังไงก็ไม่มี” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากคณะกรรมการมรดกโลกยอมรับแผนการพัฒนาของกัมพูชา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องพื้นที่ที่มาอ้างสิทธิทับของเราทางเราก็ต้องยืนยันว่าเป็นของเรา เมื่อถามว่า จะไม่มีผลกับการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกหรือ นายกฯ กล่าวว่า ก็เห็นอยู่แล้วว่าสภาพต่างๆ มันจะจัดการได้อย่างไร หากไม่มีการมาพูดคุยได้ข้อยุติด้วยดีในเรื่องแนวการปฏิบัติ เพราะความจริงทุกฝ่าย ควรจะยึดถือตามบันทึกความเข้าใจที่ทำไว้ปี 2543.
วานนี้ (10 ก.พ.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้าน จ.สุรินทร์ โดยเฉพาะพื้นที่พิพาทบริเวณปราสาทตาเมือนธม บ้านหนองคันนา ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ วานนี้ได้ตึงเครียดขึ้นมาอีกครั้งโดยทหารกัมพูชาได้เสริมกำลังพร้อมอาวุธหนัก ทั้งปืนใหญ่ ปืนกลต่อสู้อากาศยาน และรถถังอีกจำนวน 6 คันเข้ามายังบ้านโอร์รุมจอง หรือเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นบ้านตาเมือน ต.โคกหมอน อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย ห่างจากชายแดนไทยด้านปราสาทตาเมือนธม เพียง 6 กิโลเมตร (กม.)
นอกจากนั้นยังเสริมกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือ อีกกว่า 300 นาย วางกำลังประชิดชายแดนไทยตลอดแนวใกล้กับปราสาทตาเมือนธม
**ทภ.2สั่งตรึงกำลังพร้อมอาวุธ
ขณะที่ฝ่ายทหารไทย กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งตรึงกำลังพร้อมอาวุธหนัก เข้าประชิดชายแดนเพื่อปกป้องอธิปไตยอย่างเต็มที่เช่นกัน รวมทั้งยังคงปิดเส้นทางเข้าปราสาทตาเมือนธม ห่างจากตัวปราสาท 200 เมตรห้ามผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปปราสาทตาเมือนธม อย่างเด็ดขาด รวมถึงไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนให้ขึ้นไปบันทึกภาพในบริเวณปราสาทตาเมือนธมด้วย เพราะเกรง จะไม่ได้รับความปลอดภัยจากสถานการณ์ความตึงเครียดทางทหารดังกล่าว
นอกจากนี้ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านปราสาทตาควาย บ้านไทยสันติสุข ต.บักได อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมออกไปทางด้านทิศตะวันออกราว 13 กิโลเมตร ตรงข้ามกับบ้านทะมอโดน ต.โคกหมอน อ.บันเตียอำปึล จ.อุดรมีชัย ประเทศกัมพูชาพบว่า ทหารกัมพูชาได้มีการเคลื่อนย้ายกำลังพร้อมอาวุธหนัก จากบ้านปะอง อ.สำโรง จ.อุดรมีชัย เข้ามายังฐานปฏิบัติการบ้านทะมอโดนเป็นจำนวนมากทำให้กองกำลังสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งการให้ชุดทหารพราน กรมทหารพรานที่ 26 และกรมทหารราบเฉพาะกิจที่ 23 เข้าตรึงกำลังในพื้นที่ชายแดนด้านนี้อย่างเต็มที่เช่นกัน และให้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
**เขมรเตือนพลเมืองพ้นพื้นที่
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่าเป็นที่สังเกตวานนี้ทางการกัมพูชาได้ประกาศเตือนประชาชนชาวกัมพูชาไม่ให้เข้าใกล้เขตพื้นที่ชายแดนในช่วงนี้ โดยอ้างเหตุผลเรื่องความไม่ปลอดภัย ซึ่งได้สร้างความวิตกกังวลให้กับชาวกัมพูชาที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดนเป็นอย่างมากว่า การระดมพลเสริมกำลังเข้าประชิดชายแดนไทยด้านปราสาทตาเมือนธมและปราสาทตาควายอย่างผิดปกติของทหารกัมพูชาดังกล่าวเป็นสัญญาณที่จะนำไปสู่จุดแตกหักหรือเปิดฉากปะทะกันขึ้นในเร็วๆ นี้ สอดรับกับเหตุการณ์บ้านเมืองที่ร้อนแรงในประเทศไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า ส่วนบรรยากาศการค้าชายแดนที่บริเวณด่านผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องจอม-โอร์เสม็ด ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ วานนี้เงียบเหงาลงไปมากมีประชาชนชาวกัมพูชาเดินทางผ่านเข้า-ออก บางตา แม้แต่นักแสวงโชคชาวไทยที่เข้าไปเล่นการพนันในบ่อนกาสิโนชายแดน ฝั่งประเทศกัมพูชาก็ลดจำนวนลงมากเช่นกัน เหลือประมาณ 300 คน จากเดิมช่วงวันปกติมีประมาณ 500-800 คน/วันและหนาแน่นวันหยุดช่วงเทศกาลและวันเสาร์-อาทิตย์ ระดับมากกว่า 1,000 คน/วันขึ้นไป
***ชาวบ้านผวาสงครามซ้ำรอย
ขณะที่ชาวบ้านหนองคันนา ม.8 ต.ตาเมียง ซึ่งอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมประมาณ 6-7 กม. มีราษฎรอาศัยอยู่ 250 หลังคาเรือน ยังวิตกกับเหตุการณ์เหตุการณ์ หลังจากที่สมเด็จฮุน เซนมาเปิดหมู่บ้านที่โอรูมจงและเปลี่ยนชื่อเป็นหมู่บ้าน “ตาเมือน” เหมือนกับหมู่บ้านของไทย และกลุ่มปราสาทตาเมือน พร้อมกับเปิดที่ทำการกองพันทหารชายแดนที่ 422 และเปิดก่อสร้างถนนเข้ามาติดประสาทตาเมือนธม จนทำให้ชาวบ้านไม่กล้าออกไปทำไร่-ทำนาตามพื้นที่บริเวณชายแดนได้เหมือนปกติ พร้อมกับได้ติดตามสถานการณ์ทางทีวี วิทยุ และหนังสือพิมพ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งชาวบ้านทุกคนได้แต่ภาวนาขออย่าให้เกิดสงครามเหมือนในอดีต
ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากความกังวลต่อสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาที่ร้อนระอุอยู่ในขณะนี้โดยเฉพาะการออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวรุนแรงกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่องของนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้นำที่สามารถสั่งประเทศกัมพูชาหันซ้ายขวาหรือเดินหน้าถอยหลังได้ทุกเวลา
**"มาร์ด"ซัด"ฮุนเซน"ตะแบง
เมื่อเวลา 15.00 น.วานนี้ (10 ก.พ.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่สมเด็จฯฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เตรียมหยิบยกกรณีข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนบริเวณรอบปราสาทพระวิหารขึ้นสู่ศาลโลกว่า เรายังไม่ทราบว่าจะมีการดำเนินการลักษณะไหนหรือไม่อย่างไร แต่จริงๆ ในส่วนของกระทรวงที่เกี่ยวข้องเขาเตรียมเรื่องข้อกฎหมาย เพราะจริงๆ แล้วไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เอาขึ้นไปได้ เพราะการวินิจฉัยของศาลโลกเมื่อครั้งโน้นได้วินิจฉัยเรื่องขอบเขตอำนาจหน้าที่ของตัวเองไว้เรียบร้อย ฉะนั้น สิ่งใดที่เขาไม่ได้วินิจฉัยมาในอดีตก็คือ เห็นว่าไม่เป็นอำนาจที่จะวินิจฉัยอยู่แล้ว
ส่วนจะทำให้เป็นการเพิ่มสถานการณ์เพื่อนำไปสู่ศาลโลกหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนยังมองไม่เห็นเงื่อนไข ส่วนในสถานะที่กำลังจะมีการพิจารณาเรื่องการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารในเดือนกรกฎาคมนั้น เรื่องนี้เราได้เตรียมอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อเช้าวันที่ 10 ก.พ.ได้ซักซ้อมกับกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายจะมีกระทรวงยุติธรรม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่วนนี้จะมีการปรึกษาหารือกันตลอด เพราะเรารู้ว่าจะมีขั้นตอนของการดำเนินการต่างๆ
เมื่อถามว่า ปัญหาความสับสนทางเอกสารที่ทางกัมพูชามีการเผยแพร่ผ่านทางเว็ปไซด์ไปก่อนนี้จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องแผนที่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในอดีตเขาก็เคยทำอย่างนี้มา แต่เราจะดูจากเอกสารที่เป็นทางการที่ยื่นเข้าไปทั้งหมด
เมื่อถามต่อว่าวันนี้มีความคาดหวังได้มากน้อยแค่ไหนกับการคัดค้านเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าเราอยู่กับเหตุกับผล และเราได้ติดตามตั้งแต่ครั้งที่มีการพิจารณา โดยมีความเห็นของคณะผู้เชี่ยวชาญต่างๆ คิดว่าหลายสิ่งเราได้สะท้อนผ่านไปยังองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งยูเนสโก้ไปแล้วว่าการขึ้นทะเบียนฝ่ายเดียวลักษณะนี้จะเป็นปัญหาอย่างมากและไม่น่าเป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กร ส่วนเขาจะฟังมากน้อยแค่ไหน เราก็ต้องพยายามชี้แจงเหตุผลไป
“ผมคิดว่า เราทำดีที่สุดและเชื่อว่าเหตุผลของเราก็ชัดเจน จะเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ละเลยในเรื่องนี้แน่นอนและยังไม่คิดว่า จะเป็นเรื่องเลวร้าย เป็นเรื่องที่ผมคิดว่า เราต้องนำเสนอให้เป็นระบบเข้มแข็ง ซึ่งก็มีการเตรียมการอยู่ เรื่องการสูญเสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรไม่มี ยังไงก็ไม่มี” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากคณะกรรมการมรดกโลกยอมรับแผนการพัฒนาของกัมพูชา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องพื้นที่ที่มาอ้างสิทธิทับของเราทางเราก็ต้องยืนยันว่าเป็นของเรา เมื่อถามว่า จะไม่มีผลกับการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกหรือ นายกฯ กล่าวว่า ก็เห็นอยู่แล้วว่าสภาพต่างๆ มันจะจัดการได้อย่างไร หากไม่มีการมาพูดคุยได้ข้อยุติด้วยดีในเรื่องแนวการปฏิบัติ เพราะความจริงทุกฝ่าย ควรจะยึดถือตามบันทึกความเข้าใจที่ทำไว้ปี 2543.