00 กลายเป็นว่ายิ่งเข้าใกล้วันพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน ก็ยิ่งเกิดความตึงเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ฝ่ายที่เครียดมากกว่าน่าจะเป็นฝ่าย ทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละ ก็ต้องยอมรับว่าจำนวนเงินเกือบแสนล้านบาทมันน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ เป็นใครก็ต้องทำทุกทางเพื่อยื้อ หรือรักษาเอาไว้ให้ได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เวลานี้กำลังเกิดขบวนการกดดันเพื่อสร้างความตึงเครียดเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
00 เป้าหมายหลักที่ต้องจับตากันก็คือ ทำอย่างไรจะไม่ให้มีการอ่านคำพิพากษาเกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งก็มีหลายวิธี ทั้งก่อเรื่องให้วุ่นวายแบบสุดสุด หรือแม้กระทั่งคุกคามหรือ “อุ้ม” ผู้พิพากษาก็มีความเป็นไปได้ อย่าทำเป็นเล่นไป บางครั้งคนเราถ้าลองหน้ามืดแล้วไม่ว่าอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ยิ่งบางคนที่ “ทำชั่ว” จนเป็นนิสัย ก็ย่อมไม่คิดมากอยู่แล้ว
00 ที่ผ่านมายุทธวิธีที่ฝ่ายทักษิณ และ“คนเสื้อแดง”นำมาใช้ก็คือการสร้างกระแส “สองมาตรฐาน” เน้นให้เห็นถึงความ “อยุติธรรม” ที่พวกเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำ ขณะเดียวกันจะกล่าวหาสร้างภาพลบของสถาบันองคมนตรี หรือสร้างกระแสปฏิวัติ เพื่อทำลายกองทัพ อย่างไรก็ดี แม้ว่าตามแผนจะเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมเป็นต้นมาจะ“ปลุก”ไม่ขึ้นก็ตาม แต่อย่าได้ประมาทในเรื่องจำนวนเป็นอันขาด ยิ่งจำนวนน้อยนิด แต่ถ้าจงใจป่วน มันก็ทำได้ง่าย
00 แต่ประเด็นหลักที่ต้องสังเกตกันก็คือ การสร้างภาพให้เกิดความระแวงต่อสถาบันศาลทำนองว่า ไม่มีความยุติธรรมหรือ “ตั้งธง” เอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะ “ยึดทรัพย์” ทักษิณ เหมือนกับเป็นการดักคอรอป่วนเอาไว้ล่วงหน้า เพราะถ้าผลออกมาตามนั้น คนพวกนี้ก็ชี้หน้าทันทีว่า “นั่นไงว่าแล้ว” ทั้งที่การพิจารณาคดีทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการ และตามขั้นตอนเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้ใช้พยานหลักฐานหักล้างกัน ที่สำคัญเป็นการพิจารณาของ “ศาลยุติธรรม” ไม่ใช่ “ศาลเตี้ย”
00 นอกจากนี้ ในระยะหลังก็เริ่มเห็นแนวทางชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ โดยไม่ต้องปิดบังกันอีกต่อไปก็คือ การเคลื่อนไหวที่ตอนแรกได้ชูประชาธิปไตยบังหน้านั้นกลายเป็นว่าต้องเปิดเผยออกมาตรงๆ กันแล้วว่ากำลังทำทุกทางเพื่อไม่ให้ถูกยึดทรัพย์ จากคำพูดของ “มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ” ที่ระบุว่า แม้ยึดได้ยึดไป ต่อไปเมื่อพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งก็จะหาทางทวงคืนกลับมา (ให้ทักษิณ) ให้ได้ ซึ่งก็ยังงงๆ อยู่ว่าจะทำได้อย่างไร เพราะหากมีการยึดทรัพย์โดยศาลฎีกาฯ ถือว่าคดีสิ้นสุดจะไปเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมไม่ได้ หรือจะใช้วิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 40 มาใช้ หากทำได้จริง มันก็ไม่น่าจะเกี่ยว ที่สำคัญคงไม่มีผลย้อนหลัง ขืนดันทุรัง มันก็ยิ่งปั่นป่วน หรือว่าจะมีใครยอม
00 น่าสนใจจริงๆ กับบทบาทของ ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ และในฐานะโฆษกรัฐบาล ที่ระยะหลังได้กลายเป็นฝ่ายที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของรัฐบาล สำหรับการรับมือกับฝ่ายทักษิณอย่างได้ผล ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องเสียศูนย์ และชะงักไปไม่น้อย เริ่มตั้งแต่ กรณีการออกมาปูดเรื่อง 38 จังหวัดแดงป่วน หรือ มาตรการรับมือของรัฐบาลก่อนการชุมนุมของคนเสื้อแดง สามารถสร้างความอุ่นใจกับชาวบ้านได้เป็นกอง ก็ต้องจับตาลีลานิ่งๆ และน่าเชื่อถือของนักวิชาการหนุ่มคนนี้ว่า อนาคตจะไปได้ไกลแค่ไหน
00 ก่อนหน้านี้ได้เป็นคนแฉโพยเรื่อง “แดงถ่อย” จะก่อเหตุจลาจลในเดือนนี้ จึงต้องมีแผนตั้งรับ และป้องกันกันอย่างเป็นระบบสร้างกระแสจนได้ผล ทำเอาหลายฝ่ายต้องตื่นตัวกันอย่างขนานใหญ่ ล่าสุดได้ออกมาเปิดเผย “ข้อมูลใหม่” ในเรื่องเส้นทางการเงินจาก“ตะวันออกกลาง” ผ่านทางแกนนำคนเสื้อแดงระดับสูง และจากกลุ่มทุนในประเทศเพื่อนำไปใช้ก่อความรุนแรง ส่วนจะถึงมือคนตัว “จิ๋วๆ” หรือไม่ หรือจะเป็นทหาร “หมาเน่า” หรือไม่ หรือว่าจะเป็น “เสธ.บ๊อง” หรือเปล่า ไม่ได้แจ้งให้ชัดเสียด้วยซี แต่กลายเป็นว่าทั้ง เสธ.แดง และทส.ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ต่างออกมาปฏิเสธกันพัลวัน !!
00 เป้าหมายหลักที่ต้องจับตากันก็คือ ทำอย่างไรจะไม่ให้มีการอ่านคำพิพากษาเกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งก็มีหลายวิธี ทั้งก่อเรื่องให้วุ่นวายแบบสุดสุด หรือแม้กระทั่งคุกคามหรือ “อุ้ม” ผู้พิพากษาก็มีความเป็นไปได้ อย่าทำเป็นเล่นไป บางครั้งคนเราถ้าลองหน้ามืดแล้วไม่ว่าอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ยิ่งบางคนที่ “ทำชั่ว” จนเป็นนิสัย ก็ย่อมไม่คิดมากอยู่แล้ว
00 ที่ผ่านมายุทธวิธีที่ฝ่ายทักษิณ และ“คนเสื้อแดง”นำมาใช้ก็คือการสร้างกระแส “สองมาตรฐาน” เน้นให้เห็นถึงความ “อยุติธรรม” ที่พวกเขาเป็นฝ่ายถูกกระทำ ขณะเดียวกันจะกล่าวหาสร้างภาพลบของสถาบันองคมนตรี หรือสร้างกระแสปฏิวัติ เพื่อทำลายกองทัพ อย่างไรก็ดี แม้ว่าตามแผนจะเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมเป็นต้นมาจะ“ปลุก”ไม่ขึ้นก็ตาม แต่อย่าได้ประมาทในเรื่องจำนวนเป็นอันขาด ยิ่งจำนวนน้อยนิด แต่ถ้าจงใจป่วน มันก็ทำได้ง่าย
00 แต่ประเด็นหลักที่ต้องสังเกตกันก็คือ การสร้างภาพให้เกิดความระแวงต่อสถาบันศาลทำนองว่า ไม่มีความยุติธรรมหรือ “ตั้งธง” เอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะ “ยึดทรัพย์” ทักษิณ เหมือนกับเป็นการดักคอรอป่วนเอาไว้ล่วงหน้า เพราะถ้าผลออกมาตามนั้น คนพวกนี้ก็ชี้หน้าทันทีว่า “นั่นไงว่าแล้ว” ทั้งที่การพิจารณาคดีทุกอย่างต้องเป็นไปตามกระบวนการ และตามขั้นตอนเปิดโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้ใช้พยานหลักฐานหักล้างกัน ที่สำคัญเป็นการพิจารณาของ “ศาลยุติธรรม” ไม่ใช่ “ศาลเตี้ย”
00 นอกจากนี้ ในระยะหลังก็เริ่มเห็นแนวทางชัดเจนขึ้นเป็นลำดับ โดยไม่ต้องปิดบังกันอีกต่อไปก็คือ การเคลื่อนไหวที่ตอนแรกได้ชูประชาธิปไตยบังหน้านั้นกลายเป็นว่าต้องเปิดเผยออกมาตรงๆ กันแล้วว่ากำลังทำทุกทางเพื่อไม่ให้ถูกยึดทรัพย์ จากคำพูดของ “มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ” ที่ระบุว่า แม้ยึดได้ยึดไป ต่อไปเมื่อพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งก็จะหาทางทวงคืนกลับมา (ให้ทักษิณ) ให้ได้ ซึ่งก็ยังงงๆ อยู่ว่าจะทำได้อย่างไร เพราะหากมีการยึดทรัพย์โดยศาลฎีกาฯ ถือว่าคดีสิ้นสุดจะไปเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมไม่ได้ หรือจะใช้วิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญ ใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 40 มาใช้ หากทำได้จริง มันก็ไม่น่าจะเกี่ยว ที่สำคัญคงไม่มีผลย้อนหลัง ขืนดันทุรัง มันก็ยิ่งปั่นป่วน หรือว่าจะมีใครยอม
00 น่าสนใจจริงๆ กับบทบาทของ ปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ และในฐานะโฆษกรัฐบาล ที่ระยะหลังได้กลายเป็นฝ่ายที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของรัฐบาล สำหรับการรับมือกับฝ่ายทักษิณอย่างได้ผล ทำให้ฝ่ายตรงข้ามต้องเสียศูนย์ และชะงักไปไม่น้อย เริ่มตั้งแต่ กรณีการออกมาปูดเรื่อง 38 จังหวัดแดงป่วน หรือ มาตรการรับมือของรัฐบาลก่อนการชุมนุมของคนเสื้อแดง สามารถสร้างความอุ่นใจกับชาวบ้านได้เป็นกอง ก็ต้องจับตาลีลานิ่งๆ และน่าเชื่อถือของนักวิชาการหนุ่มคนนี้ว่า อนาคตจะไปได้ไกลแค่ไหน
00 ก่อนหน้านี้ได้เป็นคนแฉโพยเรื่อง “แดงถ่อย” จะก่อเหตุจลาจลในเดือนนี้ จึงต้องมีแผนตั้งรับ และป้องกันกันอย่างเป็นระบบสร้างกระแสจนได้ผล ทำเอาหลายฝ่ายต้องตื่นตัวกันอย่างขนานใหญ่ ล่าสุดได้ออกมาเปิดเผย “ข้อมูลใหม่” ในเรื่องเส้นทางการเงินจาก“ตะวันออกกลาง” ผ่านทางแกนนำคนเสื้อแดงระดับสูง และจากกลุ่มทุนในประเทศเพื่อนำไปใช้ก่อความรุนแรง ส่วนจะถึงมือคนตัว “จิ๋วๆ” หรือไม่ หรือจะเป็นทหาร “หมาเน่า” หรือไม่ หรือว่าจะเป็น “เสธ.บ๊อง” หรือเปล่า ไม่ได้แจ้งให้ชัดเสียด้วยซี แต่กลายเป็นว่าทั้ง เสธ.แดง และทส.ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ต่างออกมาปฏิเสธกันพัลวัน !!
