ASTVผู้จัดการรายวัน - “สยามวิคเกอร์” เผยผลประกอบการปี 52 โตตามเป้า เตรียมปรับทัพรับตลาดเครื่องเขียน และเครื่องใช้สำนักงานขยายตัว เน้นรุกตลาดขายตรงผสานอีคอมเมิร์ซ มั่นใจรายได้เพิ่มขึ้น 10%
นายอมฤทธิ์ วีรชัยภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามวิคเกอร์ จำกัด เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯในธุรกิจเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานปี 2552 ว่า เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยมีรายได้รวมราว 50 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องมาจากภาพรวมของตลาด ยังคงเติบโตในทิศทางที่ดีประกอบกับกำลังซื้อเริ่มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
“ภาพรวมของธุรกิจในปีนี้คาดว่าคงเติบโตมากขึ้นกว่าปี 2552 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุปกรณ์ส่งเสริมการขาย (P.O.P) อาทิ กล่องใส่โบรชัวร์ ฐานตั้งโบรชัวร์ ป้ายอะคริลิค เป็นต้น ซึ่งน่าจะฟื้นตัวโดดเด่นตามภาวะเศรษฐกิจ และการขยายตัวของธุรกิจโดยรวม หลังภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน”
ด้านแผนการตลาดในปี 2553 นั้น นายอมฤทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีช่องจัดจำหน่ายด้วยกัน 2 แบบคือ แบบ B2B จำหน่ายผ่านกลุ่มโมเดิร์นเทรด ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าตัวแทนจำหน่าย และแบบ B2C ขายตรงสู่องค์กรต่างๆ และผู้บริโภค ซึ่งสัดส่วนอยู่ที่ 80:20 ของยอดขาย แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มการเติบโตของยอดขายทั้ง 2 กลุ่ม ปรากฏว่า ในปี 2552 ที่ผ่านมา กลุ่ม B2B มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 20% ส่วนกลุ่ม B2C มีอัตราเติบโตถึง 50%
ดังนั้นในปี 2553 ในกลุ่ม B2B บริษัทจะมุ่งเน้นการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในลักษณะพันธมิตรธุรกิจให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งในปี 52 หลังจากที่บริษัทเริ่มเปิดรับพันธมิตรธุรกิจ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการพันธมิตรธุรกิจประมาณ 40 ร้านค้าในทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแพคเกจขนาดเล็ก (ราคา 8,000 บาท) เนื่องจากเป็นแพคเกจที่คุ้มค่า และลงทุนไม่มาก สามารถจัดวางสินค้า และทำการขายได้ทันที
ส่วนในกลุ่ม B2C บริษัทฯ ได้เริ่มนำระบบอีคอมเมิร์ซผ่านเว็บไซด์ www.o-pop.com เข้ามาใช้ประยุกต์ใช้กับการดำเนินธุรกิจขายตรง ซึ่งจากการเปิดดำเนินการตั้งแต่กลางปี2552 ที่ผ่านมาปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากกลุ่มธุรกิจ SME โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งมีการติดต่อผ่านเว็บไซด์ เฉลี่ยวันละประมาณ 150 ราย
“ในปีนี้เราจะมีการผสานการขายทั้ง 2 รูปแบบเข้าด้วยกัน เพื่อประหยัดพื้นที่ และต้นทุนในการจัดวางสินค้า อีกทั้งยังสามารถนำเสนอสินค้าที่เรามีมากกว่า 500 รายการผ่านเว๊บไซต์ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งการผสานระบบดังกล่าวเข้าด้วยกันน่าจะทำให้บริษัทฯ มียอดขายที่เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ภายในปีนี้” นายอมฤทธิ์กล่าว
นายอมฤทธิ์ วีรชัยภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามวิคเกอร์ จำกัด เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทฯในธุรกิจเครื่องเขียนและเครื่องใช้สำนักงานปี 2552 ว่า เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้โดยมีรายได้รวมราว 50 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องมาจากภาพรวมของตลาด ยังคงเติบโตในทิศทางที่ดีประกอบกับกำลังซื้อเริ่มฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
“ภาพรวมของธุรกิจในปีนี้คาดว่าคงเติบโตมากขึ้นกว่าปี 2552 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอุปกรณ์ส่งเสริมการขาย (P.O.P) อาทิ กล่องใส่โบรชัวร์ ฐานตั้งโบรชัวร์ ป้ายอะคริลิค เป็นต้น ซึ่งน่าจะฟื้นตัวโดดเด่นตามภาวะเศรษฐกิจ และการขยายตัวของธุรกิจโดยรวม หลังภาครัฐออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการแก้ปัญหาหนี้สินให้กับประชาชน”
ด้านแผนการตลาดในปี 2553 นั้น นายอมฤทธิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาบริษัทฯ มีช่องจัดจำหน่ายด้วยกัน 2 แบบคือ แบบ B2B จำหน่ายผ่านกลุ่มโมเดิร์นเทรด ห้างสรรพสินค้า และร้านค้าตัวแทนจำหน่าย และแบบ B2C ขายตรงสู่องค์กรต่างๆ และผู้บริโภค ซึ่งสัดส่วนอยู่ที่ 80:20 ของยอดขาย แต่เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มการเติบโตของยอดขายทั้ง 2 กลุ่ม ปรากฏว่า ในปี 2552 ที่ผ่านมา กลุ่ม B2B มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยเพียง 20% ส่วนกลุ่ม B2C มีอัตราเติบโตถึง 50%
ดังนั้นในปี 2553 ในกลุ่ม B2B บริษัทจะมุ่งเน้นการเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในลักษณะพันธมิตรธุรกิจให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งในปี 52 หลังจากที่บริษัทเริ่มเปิดรับพันธมิตรธุรกิจ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา ปรากฏว่าได้รับการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการพันธมิตรธุรกิจประมาณ 40 ร้านค้าในทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแพคเกจขนาดเล็ก (ราคา 8,000 บาท) เนื่องจากเป็นแพคเกจที่คุ้มค่า และลงทุนไม่มาก สามารถจัดวางสินค้า และทำการขายได้ทันที
ส่วนในกลุ่ม B2C บริษัทฯ ได้เริ่มนำระบบอีคอมเมิร์ซผ่านเว็บไซด์ www.o-pop.com เข้ามาใช้ประยุกต์ใช้กับการดำเนินธุรกิจขายตรง ซึ่งจากการเปิดดำเนินการตั้งแต่กลางปี2552 ที่ผ่านมาปรากฏว่า ได้รับความสนใจจากกลุ่มธุรกิจ SME โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งมีการติดต่อผ่านเว็บไซด์ เฉลี่ยวันละประมาณ 150 ราย
“ในปีนี้เราจะมีการผสานการขายทั้ง 2 รูปแบบเข้าด้วยกัน เพื่อประหยัดพื้นที่ และต้นทุนในการจัดวางสินค้า อีกทั้งยังสามารถนำเสนอสินค้าที่เรามีมากกว่า 500 รายการผ่านเว๊บไซต์ได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งการผสานระบบดังกล่าวเข้าด้วยกันน่าจะทำให้บริษัทฯ มียอดขายที่เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ภายในปีนี้” นายอมฤทธิ์กล่าว