ASTVผู้จัดการรายวัน – ซัมซุงสั่งดัน 3 โปรดักส์ แอร์-กล้องดิจิตอล และโน๊ตบุ๊ก ขึ้นแท่นผู้นำใน 3 ปี ล่าสุดดึงแผนกแอร์ออกมาทำตลาดโดยตรง พร้อมลุยคอมเมอร์เชียลแอร์เต็มสูบ ผ่านงบตลาดกว่า 250 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปี ยอดขายเติบโตขึ้นแน่ 35% หวังใน 2 ปี ขึ้นแท่นผู้นำ
นางสาวศศิธร กู้พัฒนากุล หัวหน้ากลุ่มธุรกิจเครื่องปรับอากาศ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ซัมซุง มีหลายตัวที่ขึ้นแท่นเป็นผู้นำในเซกเม้นท์นั้นๆแล้ว โดยในประเทศไทยมีถึง 12 ตัว ที่ขึ้นเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตามในปีนี้ทางบริษัทแม่ได้เล็งเห็นทิศทางตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่ม เครื่องปรับอากาศ โน๊ตบุ๊กและกล้องดิจิตอล ว่ามีโอกาสในการขายและกำไรมากขึ้น จึงได้มีนโยบายในระดับโกลบอลออกมา ให้ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์นี้ แยกออกมาบริหารการขายและการตลาดโดยตรง ไม่ผ่านการทำงานภายใต้กลุ่มธุรกิจเดิม พร้อมทั้งตั้งเป้าขึ้นแท่นผู้นำในอีก 2-3 ปีนับจากนี้ ซึ่งไทยถือได้ว่ามียอดขายในกลุ่มแอร์อยู่ในอันดับที่ 5 ในกลุ่มเอเชีย
ล่าสุดในส่วนของเครื่องปรับอากาศ จากเดิมอยู่ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ซึ่งประกอบไปด้วย ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, เครื่องดูดฝุ่น, ไมโครเวฟ และเครื่องปรับอากาศ ตั้งแต่ต้นปี 2553 ที่ผ่านมา ได้แยกกลุ่มเครื่องปรับอากาศออกมาทำการขายและการตลาดอย่างชัดเจนแล้ว
โดยในส่วนของเครื่องปรับอากาศนั้น ปีนี้ได้ใช้งบการตลาดกว่า 250 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15% จาก 150-160 ล้านบาท เทียบกับยอดขายที่ทำได้ โดยแผนการตลาดในปีนี้จะชูเรื่องของเครื่องปรับอากาศเพื่อสุขภาพ เน้นสร้างแบรนด์ ที่มาพร้อมกับการดึง “อั้ม-พัชรภา ไชยเชื้อ” ร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์ อีกส่วนหนึ่งด้วย ล่าสุดได้พัฒนาเทคโนโลยีการฟอกอากาศขั้นสูง “ไวรัส ด็อกเตอร์” ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่นำเสนอในปีนี้
นอกจากนี้ในปีนี้ ยังได้เพิ่มเครื่องปรับอากาศให้ครบไลน์มากขึ้น โดยได้เพิ่มแผนกคอมเมอร์เชียลแอร์ เข้ามาอีกส่วนด้วย จากเดิมในปีก่อนซัมซุงมีแค่ รูมแอร์ และ ซิสเต็มแอร์ ปีนี้ได้เพิ่มคอมเมอร์เชียลแอร์เข้ามา คาดว่าไตรมาสสองจะเริ่มการขายได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ผลิตในประเทศไทย และบางส่วนนำเข้าจากเกาหลี
คาดว่าสัดส่วนรายได้ยังอยู่ที่รูมแอร์กว่า 90% และซิสเต็มแอร์ กับคอมเมอร์เชียลแอร์10%
นายสมพร จันกรีนภาวงศ์ หัวหน้าผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศภายในบ้าน บริษัท ไทยซัมซุง อิเล็คโทรนิคส์ จำกัด กล่าวต่อว่า ปีนี้สำหรับกลุ่มเครื่องปรับอากาศคาดว่าจะสร้างยอดขายในแง่จำนวนได้เติบโตขึ้น 35% เทียบจากปีก่อน หรือคิดเป็นจำนวนได้กว่า 1.5 แสนเครื่อง เป็น รูมแอร์ 90% ที่เหลือเป็นซิสเต็มแอร์ และคอมเมอร์เชียลแอร์อีก 10% ซึ่งในปี 2552 ที่ผ่านมา ยอดขายแอร์เติบโตจากปี 2551 ถึง 30% และในปีนี้เชื่อว่าซัมซุงจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดแอร์ที่ 20% อยู่ในท็อปทรี จากเดิมในปีก่อนมีส่วนแบ่งประมาณ 14% อยู่ในอันดับที่ 4 โดยในอีก 2 ปีข้างหน้า จะต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำให้ได้ ซึ่งยอดขายแอร์ในปีนี้ คาดว่าจะมีสัดส่วนที่ 10% ของยอดขายซัมซุงทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดเครื่องปรับอากาศในปีนี้ คาดว่าจะมีความต้องการอยู่ที่ 7.2-7.3 แสนเครื่อง เติบโตขึ้นจากปีก่อน 6% จาก 6.8 แสนเครื่อง หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดรวมที่ประมาณ 14,000 ล้านบาทนั้น ปีนี้ทิศทางการแข่งขัน จะมุ่งไปในเรื่องของฟีเจอร์การทำงาน โดยสภาพอากาศเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อเครื่องปรับอากาศมากขึ้น โดยราคาเฉลี่ยของเครื่องปรับอากาศในปีนี้จะอยู่ที่ 1.6-17. หมื่นบาท โดยตลาดใหญ่อยู่ที่ 1.3 หมื่นบาท สำหรับซัมซุงเริ่มต้นที่ 15,900 บาท -42,900 บาท
นางสาวศศิธร กู้พัฒนากุล หัวหน้ากลุ่มธุรกิจเครื่องปรับอากาศ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ซัมซุง มีหลายตัวที่ขึ้นแท่นเป็นผู้นำในเซกเม้นท์นั้นๆแล้ว โดยในประเทศไทยมีถึง 12 ตัว ที่ขึ้นเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตามในปีนี้ทางบริษัทแม่ได้เล็งเห็นทิศทางตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในกลุ่ม เครื่องปรับอากาศ โน๊ตบุ๊กและกล้องดิจิตอล ว่ามีโอกาสในการขายและกำไรมากขึ้น จึงได้มีนโยบายในระดับโกลบอลออกมา ให้ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์นี้ แยกออกมาบริหารการขายและการตลาดโดยตรง ไม่ผ่านการทำงานภายใต้กลุ่มธุรกิจเดิม พร้อมทั้งตั้งเป้าขึ้นแท่นผู้นำในอีก 2-3 ปีนับจากนี้ ซึ่งไทยถือได้ว่ามียอดขายในกลุ่มแอร์อยู่ในอันดับที่ 5 ในกลุ่มเอเชีย
ล่าสุดในส่วนของเครื่องปรับอากาศ จากเดิมอยู่ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ซึ่งประกอบไปด้วย ตู้เย็น, เครื่องซักผ้า, เครื่องดูดฝุ่น, ไมโครเวฟ และเครื่องปรับอากาศ ตั้งแต่ต้นปี 2553 ที่ผ่านมา ได้แยกกลุ่มเครื่องปรับอากาศออกมาทำการขายและการตลาดอย่างชัดเจนแล้ว
โดยในส่วนของเครื่องปรับอากาศนั้น ปีนี้ได้ใช้งบการตลาดกว่า 250 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 15% จาก 150-160 ล้านบาท เทียบกับยอดขายที่ทำได้ โดยแผนการตลาดในปีนี้จะชูเรื่องของเครื่องปรับอากาศเพื่อสุขภาพ เน้นสร้างแบรนด์ ที่มาพร้อมกับการดึง “อั้ม-พัชรภา ไชยเชื้อ” ร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์ อีกส่วนหนึ่งด้วย ล่าสุดได้พัฒนาเทคโนโลยีการฟอกอากาศขั้นสูง “ไวรัส ด็อกเตอร์” ซึ่งจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่นำเสนอในปีนี้
นอกจากนี้ในปีนี้ ยังได้เพิ่มเครื่องปรับอากาศให้ครบไลน์มากขึ้น โดยได้เพิ่มแผนกคอมเมอร์เชียลแอร์ เข้ามาอีกส่วนด้วย จากเดิมในปีก่อนซัมซุงมีแค่ รูมแอร์ และ ซิสเต็มแอร์ ปีนี้ได้เพิ่มคอมเมอร์เชียลแอร์เข้ามา คาดว่าไตรมาสสองจะเริ่มการขายได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ผลิตในประเทศไทย และบางส่วนนำเข้าจากเกาหลี
คาดว่าสัดส่วนรายได้ยังอยู่ที่รูมแอร์กว่า 90% และซิสเต็มแอร์ กับคอมเมอร์เชียลแอร์10%
นายสมพร จันกรีนภาวงศ์ หัวหน้าผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศภายในบ้าน บริษัท ไทยซัมซุง อิเล็คโทรนิคส์ จำกัด กล่าวต่อว่า ปีนี้สำหรับกลุ่มเครื่องปรับอากาศคาดว่าจะสร้างยอดขายในแง่จำนวนได้เติบโตขึ้น 35% เทียบจากปีก่อน หรือคิดเป็นจำนวนได้กว่า 1.5 แสนเครื่อง เป็น รูมแอร์ 90% ที่เหลือเป็นซิสเต็มแอร์ และคอมเมอร์เชียลแอร์อีก 10% ซึ่งในปี 2552 ที่ผ่านมา ยอดขายแอร์เติบโตจากปี 2551 ถึง 30% และในปีนี้เชื่อว่าซัมซุงจะมีส่วนแบ่งทางการตลาดในตลาดแอร์ที่ 20% อยู่ในท็อปทรี จากเดิมในปีก่อนมีส่วนแบ่งประมาณ 14% อยู่ในอันดับที่ 4 โดยในอีก 2 ปีข้างหน้า จะต้องก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำให้ได้ ซึ่งยอดขายแอร์ในปีนี้ คาดว่าจะมีสัดส่วนที่ 10% ของยอดขายซัมซุงทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ตลาดเครื่องปรับอากาศในปีนี้ คาดว่าจะมีความต้องการอยู่ที่ 7.2-7.3 แสนเครื่อง เติบโตขึ้นจากปีก่อน 6% จาก 6.8 แสนเครื่อง หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดรวมที่ประมาณ 14,000 ล้านบาทนั้น ปีนี้ทิศทางการแข่งขัน จะมุ่งไปในเรื่องของฟีเจอร์การทำงาน โดยสภาพอากาศเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อเครื่องปรับอากาศมากขึ้น โดยราคาเฉลี่ยของเครื่องปรับอากาศในปีนี้จะอยู่ที่ 1.6-17. หมื่นบาท โดยตลาดใหญ่อยู่ที่ 1.3 หมื่นบาท สำหรับซัมซุงเริ่มต้นที่ 15,900 บาท -42,900 บาท