xs
xsm
sm
md
lg

ทฤษฎีวันสิ้นโลก การรื้อถอนมายาภาพ (จบ)

เผยแพร่:   โดย: ยุค ศรีอาริยะ

มายาภาพโลกาภิวัตน์กับการติดหลงกิเลสตัณหาและข่าวสาร

วันหนึ่ง ผมไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง เจอนักศึกษาคนหนึ่งที่เคยเรียนกับผม พอเจอกันนักศึกษาก็บอกว่าดีใจจังที่ได้เจออาจารย์ หนูกำลังมีข้อสงสัยอยู่พอดี

ผมถามว่า

“เรื่องอะไร”

นักศึกษาตอบว่า

“อาจารย์ช่วยอธิบายเรื่อง Creative Capitalism ให้ฟังหน่อย”

ผมตอบว่า “ผมไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ดีนักหรอก แต่ถ้าอยากจะเข้าใจก็เดินตามผมมา”

ผมก็พานักศึกษาขึ้นไปชั้นหนังสือเด็ก ซึ่งเต็มไปด้วยการ์ตูน ซีดี และอื่นๆ

ผมชี้ให้นักศึกษามองไปรอบๆ

“นี่คือ Creative Capitalism” ผมตอบและขยายความต่อว่า “นี่คือโลกของความจริงกับการปรุงแต่งที่ถูกลากมาอยู่ในที่เดียวกัน

สาเหตุเนื่องจากจิตนาการหรือการสร้างความงามกลายเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มกำไร และกระตุ้นการขายได้

Creative Capitalism คือทุนนิยมที่ผลิตและขายสินค้าที่ตบแต่งด้วยความสวยความงาม

พวกเขาพบว่า ความสวย ความงาม มีเสน่ห์เย้ายวน ทำให้ผู้คนติดหลงได้

เกม การ์ตูน ความบันเทิง ซีดี เพลง ที่ถูกตบแต่งให้งดงาม คือชีวิตใหม่ของระบบทุนสมัยใหม่

ทั้งหมด คือพลังแห่งมายาภาพอีกแบบหนึ่ง”

นักศึกษาคนนี้ จึงถามต่อว่า

“อาจารย์กำลังบอกว่าเป้าหมายของทุนนิยมสมัยใหม่คือ การสร้างกระแสบริโภคนิยม ใช่ไหมคะ”

ผมพยักหน้ารับ และกล่าวตอบ

“ใช่, คำว่า Creative ไม่ใช่เป็นเรื่องของการ์ตูนเท่านั้น ยังเป็นเรื่องของหนัง เกม การตกแต่งสินค้า บ้านเรือน การแสดง การแข่งขัน และอื่นๆ ด้านหนึ่งมีส่วนกระตุ้นทำให้เกิดการคิดสร้างสรรค์ แต่เราต้องระวัง เพราะโลกแห่งความงาม โลกแห่งค่านิยมใหม่ สามารถส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและเยาวชนได้อย่างมาก”

ที่สำคัญ ทุนนิยมปัจจุบันยังสร้างสรรค์โลกบันเทิงขึ้นมาด้วย เราจึงไม่ได้ติดหลงโลกของการบริโภคนิยมเท่านั้น เรายังติดหลงโลกบันเทิงนิยมด้วย

เด็กไทยปัจจุบันจึงกลายเป็นเด็กแฟชั่นตั้งแต่เล็กๆ หลงใหลเกมและการพนัน เพราะเกมคือความสุขและความสนุกของชีวิต

เกมกับการพนันขันต่อจึงมีชีวิตอยู่ด้วยกันและส่งเสริมซึ่งกันและกัน อย่างเช่น บางคนหลงติดบอลก็ติดพนันบอลไปด้วย บางคนก็หลงอยู่ในโลกบันเทิงและความสนุก หลงเสพสุข หาความสุข รวมทั้งการบริโภคเหล้าและยาเสพติด เด็กผู้หญิงมักจะหลงอยู่ในโลกแห่งความงามและความขาว

ประเทศไทยเป็นสังคมเปิด เปิดแบบสุดๆ ผลผลิตคือการเกิดขึ้นของกระแสบริโภคแบบสุดๆ เช่นกัน

คนไทยจำนวนมากจึงติดหลงบริโภคนิยมจนนักบริโภคชาวไทยกลายเป็นเรื่องราวร่ำลือกันไปทั่วโลกว่า “ยอดที่สุด”

เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าที่ไหนในโลก โดยเฉพาะตามแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ล้วนกล่าวกันว่า ไม่มีชนชาติไหนยิ่งใหญ่เท่านักชอปคนไทย

นอกจากนี้ ชีวิตสนุกบันเทิงแบบไทยๆ ก็เริ่มสุดขั้ว เที่ยวกันทุกวัน ฉลองกันทุกวัน เป็นเรื่องปกติของชีวิตวัยรุ่นสมัยใหม่

กระแสวัฒนธรรมบริโภคนิยมและบันเทิงแบบสุดขั้วนี้มีฐานมาจากการใช้สื่อจำนวนมากและเป็นระบบ เพื่อกระตุ้นความอยากรวมทั้งความโลภและความหลง

กระแสวัฒนธรรมแบบนี้มากับการสร้างและขยาย “หนี้”

คนในยุคนี้จึงตกเป็นหนี้เป็นสินกันอย่างเพิ่มพูนและเพิ่มทวีขึ้นทุกที่

นักศึกษาคนนี้ ถามผมต่อว่า

“ที่พูดกันว่า โลกกำลังก้าวสู่สังคม Knowledge Base หรือ สังคมแห่งความรู้ มันจริง หรือไม่จริงคะ”

ผมบอกว่า

“คุณลองคิดดูเองซิ เพียงระวังอย่าไปหลงติดกับคำที่ดูไพเราะ”

นักศึกษาหยุดคิด และกล่าวต่อว่า

“หรือว่าโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมแห่งขยะข่าวสาร เพราะมีแต่ข่าว...และข่าว มากเหลือเกิน”

ผมเองได้แต่ยิ้ม และกล่าวว่า

“อย่าไปหลงกับ คำ หรือ ชื่อที่ดูงามหรือไพเราะ เพราะนี่คือมายาเช่นกัน วันนี้ โลกแห่งมายาได้มีอำนาจครอบเหนือโลกแห่งความจริง

คำว่า โลกแห่งความรู้ ก็คือบรรดาความรู้แบบขยะที่ครอบโลก

ข้อมูลและข่าวที่มาก...มากจนทำให้ผู้รับข่าว ‘ไม่มีเวลา’ ที่จะคิด ถ้าข่าวเหล่านี้เป็นข่าวในเชิงสร้างภาพชวนเชื่อ เราก็กลายเป็นเหยื่อแห่งการโฆษณาชวนเชื่อไปด้วย

ในสังคมแห่งความรู้และทุนนิยมสร้างสรรค์ที่กล่าวอ้าง จะอุดมมากด้วยข้อมูลขยะ เกม การพนัน บันเทิง โรคบ้าความงาม ความขาว และเซ็กซ์ ซึ่งสามารถผลิตความสุขที่ทำให้ผู้คนหลงติดและหลงใหล

ข้อมูลและชุดความรู้แบบมั่วนิ่ม และ สินค้าวัฒนธรรมที่เรียกว่า “สร้างสรรค์ (Creative)” จะถูกผลิตเพิ่มขึ้นทุกวันและดำรงอยู่จนล้นโลกทุกหนทุกแห่ง

โลกที่เรียกว่า บันเทิง และ ความสุข มีมากมายเหลือเกิน จนทำให้ โลกแห่งความรู้ จมหายไปเป็นส่วนหนึ่งของ โลกบันเทิง

มองในแง่การเสพติดทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมโลกสมัยใหม่มีอำนาจเหนือใจหรือสามารถกำหนดขยายความอยากความต้องการของผู้คนทุกหย่อมหญ้า

วันนี้ มีใครบ้างที่ไม่ติดการพนัน เล่นหวย เล่นม้า เล่นบอล เล่นหุ้น ติดเหล้า สุรา ยาเสพติด และติดโคโยตี้

ไม่ต่างจากที่มีคำกล่าวแบบง่ายๆ ว่า

คนรวยเล่นหุ้น คนจนเล่นหวย เด็กๆ เล่นเกม ‘เล่น’ กันจน ‘ติด’งอมแงม ติดไม่ต่างจากการเสพยาเสพติดอย่างหนึ่ง

ทั้งคนรวยและคนจนจึงพากันหลงบริโภคนิยมและหลงบันเทิงนิยมแบบสุดๆ

ผมมีเพื่อนรักคนหนึ่งที่เล่นทั้งหวย เล่นบอล และเล่นหุ้น วันนี้กลายเป็นคนกึ่งพิการ ตาเสียเพราะดูอินเทอร์เน็ตและทีวีมาก บางวันดูกันตลอดทั้งคืน ร่างกายก็อ้วนฉุ เพราะชอบกินทุกอย่างที่ขวางหน้า ป่วยเป็นทั้งโรคเบาหวานและโรคความดันโลหิต

อีกคนหนึ่งก็สนใจการเมืองมาก ไม่สนใจเรื่องสุขภาพเหมือนกัน เรียกว่า พวกบ้าการเมือง ตามแต่ข่าวการเมืองแบบแยกฝ่ายทุกวัน ชีวิตของเขามีแต่ความเกลียด เกลียด... และเกลียด และสะสมความเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดป่วยเป็นมะเร็ง

นี่คือ พลังอำนาจแห่งการติดหลงและความเกลียด ซึ่งสามารถกำหนดพฤติกรรมชีวิต สร้างเป้าหมาย หรือความฝัน หรือสร้างความเกลียดจนหันกลับมาทำลายตัวเองได้”

นักศึกษาถามผมต่อว่า

“แล้วจะค้นหาความจริงหรือสลัดหลุดจากมายาภาพได้อย่างไร”

ผมตอบสั้นๆ ว่า

“ทุกวันนี้ ความจริง มันถูกทำให้ ซ่อน หรือ ซุก ตัวอยู่ในโลกแห่งมายา ซึ่งมักจะถูกตกแต่งกลบด้วยงดงาม

บรรดาสื่อทั่วโลกสามารถผลิตซ้ำขยะข่าวสารขายมายาคติทุกเวลาทุกนาที

แม้แต่จิตใต้สำนึกของเราก็มีพลังมายาซ่อนอยู่ และกลายเป็นพลังครอบเหนือพฤติกรรมของเรา

เราทุกคนจึงตก เป็นทาส ที่ปลดปล่อยตัวเองได้ยากมาก”

การหาแสวงหาความจริง หรือ การปลดปล่อยตัวเอง จึงยากยิ่ง ยากกว่ายุคอดีตหลายเท่านัก

สิ่งแรกที่เราต้องเรียนรู้คือ ค่าของการหยุด และค่าของความเชื่องช้า

หยุดทำสิ่งที่เคยทำ หยุดฟังที่เคยฟัง หยุดใช้ชีวิตแบบที่เคยใช้

ให้เวลากับชีวิตและเปิดโลกหรือพื้นที่ให้กว้างขึ้น

ค่าของความเชื่องช้า คือ ค่าของการมีสติ อย่าไปคิดอะไรแบบไวๆ ค่อยๆ คิด ค่อยๆวิเคราะห์ อย่าตื่นกลัวหรือตื่นเต้นกับข่าว

ระวัง…อย่าหลงโลก! โลกของกิเลส เงินตรา หรือความมั่งคั่งที่ขยายตัวไปเรื่อยๆ อย่าหลงในโลกแห่งความกลัวและความเกลียดที่เพิ่มขนาดขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นกัน

ถ้ารู้ตัว... ต้องหยุด และลองออกจากโลกนั้นมา... เปลี่ยนพื้นที่หรือสร้างโลกใหม่ อย่าหลงตามกระแสอย่างหลับหูหลับตา

ที่สำคัญ เราในฐานะที่เป็น ‘ปัญญาชน’ ต้องช่วยทำหน้าที่รื้อถอนมายาคติและมายาภาพต่างๆ และช่วยกันขุดหาว่า “อะไรจริง แค่ไหน อะไรไม่จริง อย่างไรบ้าง .... ให้เจอ”

บทสรุป

ผลงานชิ้นนี้กล่าวถึง มายาภาพ และ มายาคติ ที่เคยมีอำนาจครอบเหนือความเชื่อของมนุษย์ ตั้งแต่ความเชื่อหรือฐานคิดในยุคที่เราเรียกว่า “ยุควิทยาศาสตร์” อย่างเช่น ความเชื่อเรื่อง ‘ศาสตร์’ ว่าคือความจริงแท้แน่นอน ความเชื่อเรื่อง ‘วัตถุกำหนดจิต’ ความเชื่อเรื่อง ‘ความเจริญรุ่งเรืองที่ไม่สิ้นไม่สุด’ ผมมาจบลงด้วย ความเชื่อคือมายาภาพ ในยุคโลกาภิวัตน์

ความจริงแล้ว ‘มายาภาพ’ นี่เองคือเรื่องที่สำคัญที่สุดที่มนุษย์เราต้องเผชิญ

คำว่า ‘มายาภาพ’ นี้จะใกล้กับคำของพุทธศาสนาที่ใช้คำว่า ‘อวิชชา’

‘การรื้อถอนอวิชชา’ จึงทำกันมาอย่างน้อยตั้งแต่สมัยพุทธองค์

สมัยนั้น ผู้คนคิดแบบพราหมณ์ คือว่าโลกนี้ขึ้นตรงต่ออาณาจักรแห่งพระเจ้า ซึ่งประกอบด้วยเทพมากมาย ซึ่งจะมีอิทธิพลกำหนดเหนือพฤติกรรมของมนุษย์ผ่านการอวตารลงมาของเทพเหล่านั้น เพื่อทำสงครามปราบยักษ์ปราบมารและสร้างสังคมแห่งชนชั้นขึ้น ที่ทุกคนต้องเชื่อฟัง

ผู้คนชาวอินเดียสมัยนั้นต่างเชื่อเช่นนี้ พระพุทธองค์จึงกล่าวว่า “ทั้งหมดที่เชื่อกันนั้นคือ อวิชชา”

สวรรค์ โลกมนุษย์ และนรก ที่แยกกันได้ ไม่ได้มีอยู่จริง

โลกธรรมชาติที่เราเห็นอยู่นี้ คือ โลกที่เป็นหนึ่งเดียวและเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง

ไม่มีกฎแห่งสวรรค์มาครอบชีวิต ที่แยกชีวิตเป็นชั้นชน

โลกนี้มีแต่กฎที่เรียกว่า “ธรรมะ” เท่านั้น หลักธรรมะนี้ก็คือ “กฎแห่งธรรมชาติ” นั้นเอง

จะเข้าใจธรรม ก็ต้องเข้าใจธรรมชาติ

ชีวิตต้องดำเนินตามหลักแห่งธรรม ไม่ใช่คำสั่งจากพระเจ้า

วันนี้ วิทยาศาสตร์ตะวันตกพาเราสู่การค้นหาธรรมด้วยการค้นพบกฎมากมายในธรรมชาติ แต่ก็ยังก้าวไม่พ้นมายา

‘มายา’ ในนิยามของวิทยาศาสตร์ ได้ก่อตัวครอบโลกอีก

วันนี้ การถอนราก ‘การอ้างถึงวิทยาศาสตร์’ หรือ ‘ความจริงแท้’ จึงเกิดขึ้น

และที่สำคัญ เราคงต้องเริ่มตระหนักว่า “ข่าวสารและชุดวัฒนธรรมต่างๆ ซึ่งถูกผลิตขึ้นด้วยพลังการผลิตมหาศาลมีความสามารถสร้างอิทธิพลกำหนดครอบ ใจ ผู้คนได้เพราะ สื่อ คือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่มีอิทธิพลมาก ผ่านการผลิตซ้ำ...ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก... ได้อย่างรวดเร็ว จนกลายเป็น ‘สินค้าและวัฒนธรรมโลกาภิวัตน์’ ที่ขายดิบขาย ดีที่มีจำนวนมากจนล้นโลก”

พลังอำนาจพิเศษนี้ยิ่งใหญ่มากและมายาอย่างสุดๆ เช่นกัน เพราะสามารถทำให้ผู้คนหลงกับอำนาจของเงินตรา หลงอยู่ในโลกของกิเลสตัณหา ติดเกม การพนัน การมั่วสวาท และโลกแห่งสงคราม

พลังแห่งมายาภาพนี้มีอิทธิพลแพร่ไปในทุกมิติแห่งความจริง ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม

ในทางสังคม สามารถทำให้คนติดหลงอยู่กับความสนุกบันเทิง หลงเสพทุกอย่างที่เรียกว่า “ความสุข” และ “ความบันเทิง”

ในทางการเมืองอาจจะทำให้เกิดการเมืองแบบแยกสีแยกขั้ว โลกที่ไม่สามารถอยู่กันอย่างสันติได้อีกต่อไป จนทำให้การเมืองไร้ทางออก จมลงไปสู่โลกแห่งสงคราม

‘การรื้อถอน’ หรือ ‘ลดอิทธิพล’ พลังแห่งมายาภาพแห่งโลกาภิวัตน์ จึงกลายเป็นเรื่องสำคัญมาก

งานทางวิชาการปัจจุบัน จึงกลายเป็นงานที่ต้องแสดงบทบาทรื้อถอนพลังมายาภาพเหล่านี้


พุทธศาสนาสอนเราเรื่อง ‘พลังแห่งสติ’ และ ‘เส้นทางสายกลาง’ ซึ่งถ้าเราเข้าใจ จะกลายเป็นพลังที่ช่วยเราคิดยับยั้งและรู้ประมาณ ไม่ถลำลึก ไม่ซ้ายจัดหรือขวาจัด ไม่หลงโลภมาก รู้เท่าทันความอยากและความหลง

ที่สำคัญ คงต้องขอหยิบเอาหลักธรรมหรือคำเตือนของพระพุทธองค์เรื่อง “ไม่ให้เชื่อ” แม้แต่คำสอนของท่านเอง รวมทั้งสิ่งที่อ้างว่าเป็น “ความจริงแท้”

ถ้าเราเริ่มจาก “ความไม่เชื่อ” เรียนรู้มรรควิธีในการรื้อถอนมายาภาพ เริ่มจากการตั้งคำถามกับทุกอย่างที่เราได้ยินได้ฟังมา เราก็จะค้นพบ “โลกแห่งปัญญา” และ “โลกแห่งการคิดสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงาม”

                           จนกว่าจะพบกันอีก
                                 ยุค ศรีอาริยะ

กำลังโหลดความคิดเห็น