นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายจตุพร พหรมพันธ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ท้าให้นายกรัฐมนตรียุบสภาตอนนี้ ถ้ามั่นใจว่าจะได้ส.ส. 240 เสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่า เขามีสิทธิ์ท้า แต่ผลการสำรวจของเอแบคโพลล์ก็ตรงกับที่ตนวิเคราะห์ เมื่อวันที่ 5 ก.พ.ที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่ยังไม่ตัดสินใจอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นธรรมดา เพราะในการเลือกตั้งทุกครั้ง ช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อน การเลือกตั้งจะเป็นเช่นนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะดึงกลุ่มพลังเงียบมาอยู่กับรัฐบาลได้อย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกพรรคก็มีโอกาส ทั้งนี้ ส่วนใหญ่คนที่อยู่ตรงกลางจะดูเรื่องของ นโยบายและตัวบุคคล ซึ่งตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเกิดขึ้นในเงื่อนไขใด และมีนโยบายใด ปัญหาใดที่เป็นเรื่อง ที่อยู่ในใจของเขามากที่สุด รวมทั้งตัวเลือกต่างๆ
ต่อข้อถามว่าผลโพลล์ดังกล่าวระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่สามารถ ทำให้คนกรุงเทพฯสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ได้ขาดลอย เพราะมีประชาชนเพียงร้อยละ 25.4 ที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ แต่ขณะที่ร้อยละ 27.2 สนับสนุนนักการเมืองคนอื่น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องของพื้นที่ กทม.นั้นเป็นธรรมดาที่สุด เพราะส่วนใหญ่ การตัดสินใจชี้ขาดของประชาชนจะมีในช่วง 3-4 วันก่อนการเลือกตั้ง
เมื่อถามย้ำว่าคะแนนนิยมของตัวนายอภิสิทธิ์ยังน้อยกว่านักการเมืองคนอื่น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่านักการเมืองคนอื่นมีกี่คน แต่ตนไม่ห่วง เพราะเขาทำการสำรวจเฉพาะคนที่บอกว่าอยู่ตรงกลาง และตนก็เป็นคนกรุงเทพฯ ก็เข้าใจความรู้สึกและวิธีคิดว่าคนกรุงเทพฯจะรับข้อมูลข่าวสารมากแล้วจะใช้ข้อมูล ข่าวสารมากที่สุด จึงยังมีข้อมูลต่างๆ อีกมาก ซึ่งตนคิดว่าค่อนข้างเป็นธรรมชาติของ คนกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ตนพยายามทำงานหนักอย่างเต็มที่ที่สุดอยู่แล้วในตอนนี้
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบที่ นายอภิสิทธิ์ ์ ประเมินตัวเลข ส.ส. ที่จะได้รับจากการเลือกตั้งครั้งหน้าถึง 240 เสียง เพราะยังไม่ได้คุยกับหัวหน้าพรรค ได้อ่านจากหนังสือพิมพ์เท่านั้น ส่วนตัวยังไม่ได้ประเมิน เพราะการเมือง มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเคยมีพรรคการเมือง ได้เสียงในสภาฯ เกินครึ่งมาแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็มีความหวังเช่นกัน
ส่วนกรณี พรรคเพื่อไทยระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์อาจมีการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรค จาก นายสุเทพ เป็นนายกรณ์ จาติกวณิชนั้น นายสุเทพกล่าวว่า ข่าวที่ออกมา เป็นข่าวที่สร้างความสับสน ขอให้ประชาชนดูที่มาของข่าวด้วย
พรรคเพื่อไทยไม่จำเป็นต้องห่วงผม ขอให้ดูแลในพรรคของตัวเองดีกว่า ขอยืนยันว่า ภายในพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหา พรรคมีระบบ และวัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจน
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบโต้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทยที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์เกิดความแตกแยกกันภายในว่า การที่นายจิรายุมาเป็นนักการเมืองเพราะตกกระป๋องจากการเป็นผู้ประกาศข่าว มีความพยายามที่จะเปรียบเทียบชื่อละครและหนังมาเป็นหัวข้อทางการเมือง เช่นบอกว่าโลกทั้งใบให้มาร์คคนเดียว จึงอยากให้ นายจิรายุ เปลี่ยนจากนักการเมืองเป็นนักวิจารณ์หนังและภาพยนตร์มากกว่า
ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความแตกแยกอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์และกระแสข่าวว่าจะเปลี่ยนเลขาธิการพรรคก็ไม่จริง ที่เป็นข่าวขึ้นมาเพราะบุคลากรของ พรรคประชาธิปัตย์มีศักยภาพในการบริหาร ไม่เหมือนกับพรรคเพื่อไทยที่ยังหาคน ที่มีความสามารถมาเป็นหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคตัวจริงไม่ได้ ที่มีก็ล้วนแต่เป็นนอมินีทั้งสิ้น ถ้าเปรียบพรรคประชาธิปัตย์ก็เหมือนกับไก่ชนที่จะไม่จิกพวกเดียวกันเอง ซึ่งต่างกับพรรคเพื่อไทยที่เปรียบกับไก่ตรุษจีนที่อยู่ในเข่งจิกตีกันเอง
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยท้าให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาว่า คนเหล่านี้ไม่ควรใฝ่หาการยุบสภาเพราะไม่เกินปีกว่าๆก็จะมีการเลือกตั้งและขอให้ต่อสู้กันอย่างตรงไปตรงมา การที่บางคนเป็นส.ส.ได้ก็เพราะอาศัยกระแสพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งบางคนเปรียบได้นกแล เป็นดาวหาง บางคนแย่กว่านั้นเป็นถึงอุกกาบาต ต้องคอยรอแสงจากพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณเปรียบพระอาทิตย์ยามอัสดง ซึ่งอุกกาบาตเหล่านี้ก็จะอับแสงลงไปด้วย
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายจิรายุส ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องความแตกแยกในพรรคประชาธิปัตย์ ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และขอเรียกร้องให้นายจิรายุสไปดูปัยหาของพรรคตัวเอง ตอนนี้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ พูดกับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทยแล้วหรือยัง มาสู่รู้ดูพรรคอื่น ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีความแตกแยก เป็นกลุ่มก้อน แต่อย่างใด
นายบุญยอด แฉพฤติกรรมกร่างของนายจิรายุสเพื่อครั้งเป็นสื่อมวลชน ในทีวีช่องหนึ่งเมื่อครั้งไปดูการแข่งรถกับแฟนสาวที่ไม่ทราบว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม โดยทำกร่างจะลงไปในสนามแข่งรถทั้งที่เขาห้ามเพราะเกรงเรื่องปัญหาความปลอดภัย แต่นายจิรายุสกลับอาละวาด ตนจึงอยากเสนอแนะในฐานะเป็นอดีตรุ่นพี่สื่อมวลชนว่า การทำงานควรเป็นตัวของตัวเอง อย่าถูกกลืนไปในทางที่เสื่อมเสีย
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะดึงกลุ่มพลังเงียบมาอยู่กับรัฐบาลได้อย่างไร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกพรรคก็มีโอกาส ทั้งนี้ ส่วนใหญ่คนที่อยู่ตรงกลางจะดูเรื่องของ นโยบายและตัวบุคคล ซึ่งตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะตัดสินใจ เพราะยังไม่มีความชัดเจนว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเกิดขึ้นในเงื่อนไขใด และมีนโยบายใด ปัญหาใดที่เป็นเรื่อง ที่อยู่ในใจของเขามากที่สุด รวมทั้งตัวเลือกต่างๆ
ต่อข้อถามว่าผลโพลล์ดังกล่าวระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่สามารถ ทำให้คนกรุงเทพฯสนับสนุนนายอภิสิทธิ์ได้ขาดลอย เพราะมีประชาชนเพียงร้อยละ 25.4 ที่สนับสนุนนายอภิสิทธิ์ แต่ขณะที่ร้อยละ 27.2 สนับสนุนนักการเมืองคนอื่น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เรื่องของพื้นที่ กทม.นั้นเป็นธรรมดาที่สุด เพราะส่วนใหญ่ การตัดสินใจชี้ขาดของประชาชนจะมีในช่วง 3-4 วันก่อนการเลือกตั้ง
เมื่อถามย้ำว่าคะแนนนิยมของตัวนายอภิสิทธิ์ยังน้อยกว่านักการเมืองคนอื่น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ทราบว่านักการเมืองคนอื่นมีกี่คน แต่ตนไม่ห่วง เพราะเขาทำการสำรวจเฉพาะคนที่บอกว่าอยู่ตรงกลาง และตนก็เป็นคนกรุงเทพฯ ก็เข้าใจความรู้สึกและวิธีคิดว่าคนกรุงเทพฯจะรับข้อมูลข่าวสารมากแล้วจะใช้ข้อมูล ข่าวสารมากที่สุด จึงยังมีข้อมูลต่างๆ อีกมาก ซึ่งตนคิดว่าค่อนข้างเป็นธรรมชาติของ คนกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม ตนพยายามทำงานหนักอย่างเต็มที่ที่สุดอยู่แล้วในตอนนี้
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบที่ นายอภิสิทธิ์ ์ ประเมินตัวเลข ส.ส. ที่จะได้รับจากการเลือกตั้งครั้งหน้าถึง 240 เสียง เพราะยังไม่ได้คุยกับหัวหน้าพรรค ได้อ่านจากหนังสือพิมพ์เท่านั้น ส่วนตัวยังไม่ได้ประเมิน เพราะการเมือง มีความเป็นไปได้ทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเคยมีพรรคการเมือง ได้เสียงในสภาฯ เกินครึ่งมาแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ก็มีความหวังเช่นกัน
ส่วนกรณี พรรคเพื่อไทยระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์อาจมีการเปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรค จาก นายสุเทพ เป็นนายกรณ์ จาติกวณิชนั้น นายสุเทพกล่าวว่า ข่าวที่ออกมา เป็นข่าวที่สร้างความสับสน ขอให้ประชาชนดูที่มาของข่าวด้วย
พรรคเพื่อไทยไม่จำเป็นต้องห่วงผม ขอให้ดูแลในพรรคของตัวเองดีกว่า ขอยืนยันว่า ภายในพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีปัญหา พรรคมีระบบ และวัฒนธรรมองค์กรที่ชัดเจน
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบโต้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทยที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์พรรคประชาธิปัตย์เกิดความแตกแยกกันภายในว่า การที่นายจิรายุมาเป็นนักการเมืองเพราะตกกระป๋องจากการเป็นผู้ประกาศข่าว มีความพยายามที่จะเปรียบเทียบชื่อละครและหนังมาเป็นหัวข้อทางการเมือง เช่นบอกว่าโลกทั้งใบให้มาร์คคนเดียว จึงอยากให้ นายจิรายุ เปลี่ยนจากนักการเมืองเป็นนักวิจารณ์หนังและภาพยนตร์มากกว่า
ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความแตกแยกอย่างที่วิพากษ์วิจารณ์และกระแสข่าวว่าจะเปลี่ยนเลขาธิการพรรคก็ไม่จริง ที่เป็นข่าวขึ้นมาเพราะบุคลากรของ พรรคประชาธิปัตย์มีศักยภาพในการบริหาร ไม่เหมือนกับพรรคเพื่อไทยที่ยังหาคน ที่มีความสามารถมาเป็นหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคตัวจริงไม่ได้ ที่มีก็ล้วนแต่เป็นนอมินีทั้งสิ้น ถ้าเปรียบพรรคประชาธิปัตย์ก็เหมือนกับไก่ชนที่จะไม่จิกพวกเดียวกันเอง ซึ่งต่างกับพรรคเพื่อไทยที่เปรียบกับไก่ตรุษจีนที่อยู่ในเข่งจิกตีกันเอง
นายเทพไท กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยท้าให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภาว่า คนเหล่านี้ไม่ควรใฝ่หาการยุบสภาเพราะไม่เกินปีกว่าๆก็จะมีการเลือกตั้งและขอให้ต่อสู้กันอย่างตรงไปตรงมา การที่บางคนเป็นส.ส.ได้ก็เพราะอาศัยกระแสพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งบางคนเปรียบได้นกแล เป็นดาวหาง บางคนแย่กว่านั้นเป็นถึงอุกกาบาต ต้องคอยรอแสงจากพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณเปรียบพระอาทิตย์ยามอัสดง ซึ่งอุกกาบาตเหล่านี้ก็จะอับแสงลงไปด้วย
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายจิรายุส ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องความแตกแยกในพรรคประชาธิปัตย์ ตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง และขอเรียกร้องให้นายจิรายุสไปดูปัยหาของพรรคตัวเอง ตอนนี้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ พูดกับร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทยแล้วหรือยัง มาสู่รู้ดูพรรคอื่น ยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีความแตกแยก เป็นกลุ่มก้อน แต่อย่างใด
นายบุญยอด แฉพฤติกรรมกร่างของนายจิรายุสเพื่อครั้งเป็นสื่อมวลชน ในทีวีช่องหนึ่งเมื่อครั้งไปดูการแข่งรถกับแฟนสาวที่ไม่ทราบว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม โดยทำกร่างจะลงไปในสนามแข่งรถทั้งที่เขาห้ามเพราะเกรงเรื่องปัญหาความปลอดภัย แต่นายจิรายุสกลับอาละวาด ตนจึงอยากเสนอแนะในฐานะเป็นอดีตรุ่นพี่สื่อมวลชนว่า การทำงานควรเป็นตัวของตัวเอง อย่าถูกกลืนไปในทางที่เสื่อมเสีย