ASTVผู้จัดการรายวัน – ธ.ก.ส.พร้อมลุยธนาคารชุมชน “ลักษณ์ วจนานวัช” เผยเตรียมความพร้อมกว่า 80% คิกออฟ 1 เม.ย.นี้แน่นอน นำร่องกรุงเทพฯ หัวเมืองใหญ่ ระบุรับสมัครเจ้าหน้าที่ใหม่แล้วกว่า 300 ราย อีก 3 ปีครบ 1 พันคนแยกตั้งบริษัทในเครือได้ทันที
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธ.ก.ส.ได้เดินหน้าโครงการธนาคารชุมชนมีความคืบหน้ากว่า 80% แล้วทั้งระบบบริหารจัดการโครงการและการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบสินเชื่อโครงการ โดยขณะนี้ได้เปิดรับเจ้าหน้าที่แล้วกว่า 300 รายและอยู่ระหว่างขั้นตอนการฝึกอบรมเพื่อให้สามารถเดินหน้าโครงการธนาคารชุมชนได้ทันตามที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. ได้กำหนดวันเปิดตัวโครงการไว้ในวันที่ 1 เมษายน 2553
โดยในเบื้องต้น ธ.ก.ส.จะเปิดโครงการในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา ชลบุรี สุราษฎร์ธานีและสงขลา เป็นต้น เนื่องจากเป็นจังหวัดใหญ่และระบบบริหารจัดการต่างๆ มีความพร้อมมากกว่า และจะเพิ่มจังหวัดเป้าหมายต่อไปจนครอบคลุมทุกสาขาทั่วประเทศเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ยังขาดโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินให้สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินฐานรากหรือMicrofinance ได้
“ในเบื้องต้นเราจะเริ่มโครงการที่กรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ก่อน เนื่องจากมีความพร้อมของระบบและบุคลากรมากกว่าและจะขยายให้ครอบคลุมทั่งประเทศโดยเร็ว โดยในขณะนี้ได้แยกหน่วยธุรกิจขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อดูแลโครงการนี้และในปี 2556 หรืออีก 3 ปีข้างหน้าจะจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระในรูปแบบบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด หรือรูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสม และจะเปิดรับพนักงานให้สามารถบริการได้ครอบคุมทั่วประเทศจำนวน 1 พันคน”นายลักษณ์กล่าว
นายลักษณ์กล่าวว่า สำหรับลูกค้าที่ขอสินเชื่อโครงการนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีรายได้น้อยจริงๆ ซึ่งตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่ามีผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศโดยมีรายได้ต่ำกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือนสูงถึง 13.4 ล้านรายทั่วประเทศหรือประมาณ 80% ของลูกจ้างทั้งหมด 16.7 ล้านคน ทั้งนี้บุคคลกลุ่มนี้มีความเดือดร้อนและต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือในเรื่องเงินทุนเพื่อนำไปประกอบอาชีพอย่างเร่งด่วน
“ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการธนาคารชุมชนกับธ.ก.ส.นั้นจะต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพและสร้างรายได้ รวมทั้งกรณีที่เป็นกลุ่มจะต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างอาชีพให้แก่สมาชิกเพื่อเพิ่มรายได้ ทั้งนี้จะมีการตรวจสอบว่าผู้ที่ยื่นกู้นั้นได้กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินอื่นหรือไม่ หากมีก็จะถูกตัดสิทธิ์เนื่องจากธนาคารมองว่าหากผู้กู้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแล้วก็ไม่ควรมีการกูยืมซ้ำซ้อน” นายลักษณ์กล่าว
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ธ.ก.ส.ได้เดินหน้าโครงการธนาคารชุมชนมีความคืบหน้ากว่า 80% แล้วทั้งระบบบริหารจัดการโครงการและการเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบสินเชื่อโครงการ โดยขณะนี้ได้เปิดรับเจ้าหน้าที่แล้วกว่า 300 รายและอยู่ระหว่างขั้นตอนการฝึกอบรมเพื่อให้สามารถเดินหน้าโครงการธนาคารชุมชนได้ทันตามที่นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. ได้กำหนดวันเปิดตัวโครงการไว้ในวันที่ 1 เมษายน 2553
โดยในเบื้องต้น ธ.ก.ส.จะเปิดโครงการในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น นครราชสีมา ชลบุรี สุราษฎร์ธานีและสงขลา เป็นต้น เนื่องจากเป็นจังหวัดใหญ่และระบบบริหารจัดการต่างๆ มีความพร้อมมากกว่า และจะเพิ่มจังหวัดเป้าหมายต่อไปจนครอบคลุมทุกสาขาทั่วประเทศเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ยังขาดโอกาสการเข้าถึงบริการทางการเงินให้สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินฐานรากหรือMicrofinance ได้
“ในเบื้องต้นเราจะเริ่มโครงการที่กรุงเทพฯและหัวเมืองใหญ่ก่อน เนื่องจากมีความพร้อมของระบบและบุคลากรมากกว่าและจะขยายให้ครอบคลุมทั่งประเทศโดยเร็ว โดยในขณะนี้ได้แยกหน่วยธุรกิจขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อดูแลโครงการนี้และในปี 2556 หรืออีก 3 ปีข้างหน้าจะจัดตั้งเป็นองค์กรอิสระในรูปแบบบริษัทจำกัด หรือบริษัทมหาชนจำกัด หรือรูปแบบอื่นๆ ที่เหมาะสม และจะเปิดรับพนักงานให้สามารถบริการได้ครอบคุมทั่วประเทศจำนวน 1 พันคน”นายลักษณ์กล่าว
นายลักษณ์กล่าวว่า สำหรับลูกค้าที่ขอสินเชื่อโครงการนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีรายได้น้อยจริงๆ ซึ่งตามข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่ามีผู้มีรายได้น้อยทั่วประเทศโดยมีรายได้ต่ำกว่า 1 หมื่นบาทต่อเดือนสูงถึง 13.4 ล้านรายทั่วประเทศหรือประมาณ 80% ของลูกจ้างทั้งหมด 16.7 ล้านคน ทั้งนี้บุคคลกลุ่มนี้มีความเดือดร้อนและต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือในเรื่องเงินทุนเพื่อนำไปประกอบอาชีพอย่างเร่งด่วน
“ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการธนาคารชุมชนกับธ.ก.ส.นั้นจะต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบอาชีพและสร้างรายได้ รวมทั้งกรณีที่เป็นกลุ่มจะต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างอาชีพให้แก่สมาชิกเพื่อเพิ่มรายได้ ทั้งนี้จะมีการตรวจสอบว่าผู้ที่ยื่นกู้นั้นได้กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินอื่นหรือไม่ หากมีก็จะถูกตัดสิทธิ์เนื่องจากธนาคารมองว่าหากผู้กู้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบแล้วก็ไม่ควรมีการกูยืมซ้ำซ้อน” นายลักษณ์กล่าว
