แอลจีทุ่ม 3,000 ล้านบาท สูงสุดใน 10 ปี ขยายกำลังการผลิต 3 ผลิตภัณฑ์หัวหอก พร้อมลุยการตลาดเต็มสูบ หลังภาพลักษณ์แบรนด์ครองใจคนไทยมากขึ้น จากความประสบความสำเร็จของ “LG Entertainer ล้านฝันสนั่นโลก” ฝันปี 2555 ขึ้นแท่นแบรนด์อันดับ1 ที่ครองใจผู้บริโภคทั้งไทยและระดับโลก
นายเฮียน วู (ฮาร์เวิร์ด) ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปี2553นี้ถือเป็นปีที่ทางแอลจีจะมีการลงทุนมากสุดในรอบ 10 ปี รวมแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นการเพิ่มกำลังการผลิต 2,000 ล้านบาท และงบการตลาดราว 900 ล้านบาท
โดยตามแผนการลงทุนในปี 2553 ตั้งแต่เดือนม.ค.-ธ.ค. นี้ บริษัทเตรียมงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก คือ กลุ่มจอภาพ โดยเฉพาะแอลอีดีทีวี และทีวีระดับพรีเมี่ยม, เครื่องปรับอากาศ และเครื่องซักผ้าฝาหน้า ที่โรงงาน จังหวัดระยอง ซึ่งการเพิ่มกำลังการผลิตครั้งนี้ เพื่อซัพพรอตทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องซักผ้าฝาหน้านั้น ไทยถือเป็นฮับในการการผลิตไปยังประเทศในแถบเซาส์อีสเอเชีย, มีดเดิลอีส และอาฟริกาด้วย
ขณะเดียวกันปีนี้ในแง่ของงบประมาณทางการตลาด จะใช้มากถึง 800-900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 10% จากที่ใช้ไปเกือบ 800 ล้านบาท โดยมองว่าหลังจากที่ 1-2 ปีที่ผ่านมา แอลจีมุ่งเน้นทำการตลาดอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกับการนำเอาเอ็นเตอร์เทนเม้นท์มาร์เก็ตติ้งเข้ามาช่วยสร้างแบรนด์ พบว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคคนไทยมากขึ้น ล่าสุดกับโปแรมการแข่งขัน “LG Entertainer ล้านฝันสนั่นโลก” ออกอากาศทางช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ และจบลงเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมาพบว่าได้รับการตอบรับสูง
โดยในส่วนของแบรนด์นั้น สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค และเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากการสำรวจที่ผ่านมา ผู้บริโภคจะรู้จักแบรนด์แอลจี และเลือกแบรนด์แอลจีที่ 60% จากโปรแกรมนี้ พบว่า อัตราการเข้าถึงนี้เพิ่มขึ้นอีกราว 10% เนื่องจากเป็นโปรแกรมการแข่งขันที่จับฐานกลุ่มผู้บริโภคระดับอายุตั้งแต่ 15-49 ปี ซึ่งถือเป็นฐานที่กว้าง โดยในส่วนของสินค้านั้น พบว่ากลุ่มสินค้าที่เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น เช่น โทรศัพท์มือถือ เป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการเติบโตของยอดขายมากสุดในช่วงโปรแกรมการแข่งขันนี้
อย่างไรก็ตามในแง่ของการตลาดนั้น ปีนี้จะเน้นการเพิ่มโปรแกรมกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ มาร์เก็ตติ้ง, โซเชียล มาร์เก็ตติ้ง และสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง รวมไปถึงการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภค ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์กับสินค้าภายใต้แบรนด์แอลจีมากขึ้น กับการขยาย “แบรนด์ ชอป”ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วกว่า 16 ชอป เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า 4 ชอป และโทรศัพท์มือถือ 12 ชอป
นายเฮียน กล่าวต่อว่า แผนการลงทุน โดยเฉพาะในแง่ของการเพิ่มกำลังการผลิตนี้ ถือเป็นแผนงานที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับผู้เล่นในตลาดมีความเคลื่อนไหวในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าน้อยลง หรือถอนกำลังการผลิตออกไปแต่อย่างไร ทั้งนื้ทางแอลจีกลับมองว่า ปัจจัยที่ทำให้แอลจีมีการลงทุนมากสุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากมองว่า 1.ประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่และมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก 2.โครงสร้างของประเทศไทย มีพื้นที่ดีและมั่นคง และ 3. ในแง่ของแรงงานถือว่าราคายังต่ำอยู่ ดังนั้นเมื่อรวมทั้ง 3 ข้อแล้ว จึงมั่นใจในความพร้อมของประเทศไทยอย่างมาก ทั้งนี้ทางแอลจีเชื่อมั่นว่าภายในปี 2555 แอลจีจะก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับหนึ่งที่ครองใจผู้บริโภคสูงสุดทั้งในไทยและในระดับโลก
นายเฮียน วู (ฮาร์เวิร์ด) ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปี2553นี้ถือเป็นปีที่ทางแอลจีจะมีการลงทุนมากสุดในรอบ 10 ปี รวมแล้วกว่า 3,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็นการเพิ่มกำลังการผลิต 2,000 ล้านบาท และงบการตลาดราว 900 ล้านบาท
โดยตามแผนการลงทุนในปี 2553 ตั้งแต่เดือนม.ค.-ธ.ค. นี้ บริษัทเตรียมงบประมาณกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิตสินค้าใน 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก คือ กลุ่มจอภาพ โดยเฉพาะแอลอีดีทีวี และทีวีระดับพรีเมี่ยม, เครื่องปรับอากาศ และเครื่องซักผ้าฝาหน้า ที่โรงงาน จังหวัดระยอง ซึ่งการเพิ่มกำลังการผลิตครั้งนี้ เพื่อซัพพรอตทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องซักผ้าฝาหน้านั้น ไทยถือเป็นฮับในการการผลิตไปยังประเทศในแถบเซาส์อีสเอเชีย, มีดเดิลอีส และอาฟริกาด้วย
ขณะเดียวกันปีนี้ในแง่ของงบประมาณทางการตลาด จะใช้มากถึง 800-900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนราว 10% จากที่ใช้ไปเกือบ 800 ล้านบาท โดยมองว่าหลังจากที่ 1-2 ปีที่ผ่านมา แอลจีมุ่งเน้นทำการตลาดอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกับการนำเอาเอ็นเตอร์เทนเม้นท์มาร์เก็ตติ้งเข้ามาช่วยสร้างแบรนด์ พบว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้บริโภคคนไทยมากขึ้น ล่าสุดกับโปแรมการแข่งขัน “LG Entertainer ล้านฝันสนั่นโลก” ออกอากาศทางช่อง 9 โมเดิร์นไนน์ และจบลงเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมาพบว่าได้รับการตอบรับสูง
โดยในส่วนของแบรนด์นั้น สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค และเป็นที่รู้จักมากขึ้น จากการสำรวจที่ผ่านมา ผู้บริโภคจะรู้จักแบรนด์แอลจี และเลือกแบรนด์แอลจีที่ 60% จากโปรแกรมนี้ พบว่า อัตราการเข้าถึงนี้เพิ่มขึ้นอีกราว 10% เนื่องจากเป็นโปรแกรมการแข่งขันที่จับฐานกลุ่มผู้บริโภคระดับอายุตั้งแต่ 15-49 ปี ซึ่งถือเป็นฐานที่กว้าง โดยในส่วนของสินค้านั้น พบว่ากลุ่มสินค้าที่เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่น เช่น โทรศัพท์มือถือ เป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการเติบโตของยอดขายมากสุดในช่วงโปรแกรมการแข่งขันนี้
อย่างไรก็ตามในแง่ของการตลาดนั้น ปีนี้จะเน้นการเพิ่มโปรแกรมกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ มาร์เก็ตติ้ง, โซเชียล มาร์เก็ตติ้ง และสปอร์ต มาร์เก็ตติ้ง รวมไปถึงการเพิ่มช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภค ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสประสบการณ์กับสินค้าภายใต้แบรนด์แอลจีมากขึ้น กับการขยาย “แบรนด์ ชอป”ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการแล้วกว่า 16 ชอป เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า 4 ชอป และโทรศัพท์มือถือ 12 ชอป
นายเฮียน กล่าวต่อว่า แผนการลงทุน โดยเฉพาะในแง่ของการเพิ่มกำลังการผลิตนี้ ถือเป็นแผนงานที่วางเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับผู้เล่นในตลาดมีความเคลื่อนไหวในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าน้อยลง หรือถอนกำลังการผลิตออกไปแต่อย่างไร ทั้งนื้ทางแอลจีกลับมองว่า ปัจจัยที่ทำให้แอลจีมีการลงทุนมากสุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากมองว่า 1.ประเทศไทยเป็นตลาดที่ใหญ่และมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกมาก 2.โครงสร้างของประเทศไทย มีพื้นที่ดีและมั่นคง และ 3. ในแง่ของแรงงานถือว่าราคายังต่ำอยู่ ดังนั้นเมื่อรวมทั้ง 3 ข้อแล้ว จึงมั่นใจในความพร้อมของประเทศไทยอย่างมาก ทั้งนี้ทางแอลจีเชื่อมั่นว่าภายในปี 2555 แอลจีจะก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับหนึ่งที่ครองใจผู้บริโภคสูงสุดทั้งในไทยและในระดับโลก