xs
xsm
sm
md
lg

ประเทศไทย ณ ทางสามแพร่ง!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

บรรยากาศการประชุมสภาตลอดสองปีที่ผ่านมาย่อมเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาและความรู้เห็นของคนไทยทั้งประเทศแล้วว่าเป็นสภาแห่งการโต้แย้งและทะเลาะวิวาท ไม่ปรากฏภาพ “บัณฑิต” ให้เห็นเลย

พระตถาคตเจ้าทรงตรัสว่าที่ประชุมใดที่ไม่มีบัณฑิต ที่นั่นย่อมไม่ถือว่าเป็นสภา ดังนั้นแม้จะมีชื่อเรียกตามตัวหนังสือว่าเป็นสภา แต่เมื่อไม่มีบัณฑิตอยู่ในที่ประชุม ในทางธรรมย่อมต้องถือว่าที่นั่นไม่เป็นสภา

และความจริงก็คือนอกจากไม่เป็นสภาแล้ว ยังมีสภาพไม่ต่างอะไรกับบ่อนไก่หรือเวทีมวย และถ้ากล่าวให้ถึงที่สุดบ่อนไก่หรือเวทีมวยยังดีเสียกว่า เพราะไม่มีการด่าว่า ไม่มีการทะเลาะวิวาท คงมีแต่การต่อสู้ตามกฎกติกาที่วางไว้

แต่สภาของเรานั้นลักษณะการต่อสู้เป็นแบบมวยหมู่ ไม่มีกฎ ไม่มีกติกา ไม่มีเหตุผล แม้ผู้เป็นประธานซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามที่ตกลงกันไว้ในข้อบังคับก็ไม่สามารถกำกับการประชุมให้ถูกต้องได้และไม่มีผู้ใดเชื่อฟัง

การทะเลาะเบาะแว้ง ถึงขนาดขู่จะชักปืนมายิงกัน ไม่มีกฎ ไม่มีกติกา ไม่มีเหตุผล ไม่มีการเคารพผู้เป็นประธานหรือผู้หลักผู้ใหญ่แบบนี้ จึงมีลักษณะที่ไม่ต่างกับฝูงสุนัขกัดกันแต่ประการใด

ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียดายงบประมาณ ทั้งในส่วนที่เป็นเงินเดือน ทั้งในส่วนที่เป็นค่าใช้จ่าย และยิ่งเสียดายงบประมาณที่จะจัดสรรไปสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ว่าเป็นเรื่องเสียของเสียเวลาเปล่า เพราะถ้าเป็นเรื่องของฝูงสุนัขกัดกันแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอันใดที่จะต้องไปสร้างรัฐสภาให้โอ่อ่าด้วยเงินจำนวนมหาศาลเช่นนั้นเลย

สภาพเช่นนี้จึงไม่ใช่ที่พึ่งที่หวังในการเป็นหลักของการแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองได้

เป็นธรรมดาของฝูงสุนัข ย่อมไม่สามารถก่อสร้างพระเจดีย์ได้ มีแต่จะขี้เยี่ยวให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนเหม็นคาวฉาวโฉ่แค่นั้นเอง สภาพอย่างนี้จะมีหรือไม่มี ล้วนแล้วแต่ไร้ความหมาย

ขณะนี้ถึงกาลสมัยเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไปแล้ว เป็นโอกาสที่ฝ่ายค้านจะสามารถยื่นอภิปรายทั่วไปเพื่อขับไล่รัฐบาลได้ และขับไล่กันได้ง่าย ๆ โดยจะมีการเสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้ามาพร้อมกับการอภิปรายทั่วไปนั้นด้วย

ถ้ารัฐบาลแพ้เสียงในสภา รัฐบาลก็เป็นอันล้มครืนลงไป และคนที่ได้รับการเสนอชื่อในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้นก็จะได้รับการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงพิจารณาแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป

ในสถานการณ์เช่นนั้น จึงบังเกิดการเคลื่อนไหวของอสูรกายทางการเมืองขึ้น ดังที่มีข่าวแพลมๆ ออกมาให้เห็นว่าอสูรกายทางการเมืองบางตนได้ไปรับงานจากอสูรกายด้วยกันเพื่อมาสลายพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ว่าด้วยการถอนตัวหรือด้วยการทรยศหักหลังก็ตามที

แค่การรับงานมาทำให้คนหักหลังกัน หรือเบี้ยวกันก็ต้องถือว่าเป็นงานที่ชั่วช้าสารเลว ไม่ใช่งานสร้างสรรค์หรือที่จะบังเกิดคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองและประชาชนเลย

อสูรกายบางตนถูกขับพ้นออกจากวงการเมืองไปแล้ว เพราะประพฤติชั่ว ทำลายการปกครองของบ้านเมือง จนศาลรัฐธรรมนูญต้องระบุในคำพิพากษาว่าเป็นภัยต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพียงนี้แล้วก็ควรจะหดหัวหดหางซุกรูไปจนกว่าจะหมดเวลาที่ศาลท่านกำหนดไว้

แต่อสูรกายนั้นกลับไม่สำนึกในบาปบุญคุณโทษ ไม่คิดถึงบาปกรรม กลับก่อกรรมทำเข็ญให้บ้านเมืองซ้ำเติมจากที่เป็นวิกฤตใกล้กลียุคให้รุนแรงขึ้นอีก

เพื่อบรรลุเป้าหมายในการทำให้พรรคร่วมรัฐบาลทรยศหักหลังพรรคประชาธิปัตย์ แล้วทำให้รัฐบาลนี้ล้มลง โดยตัวเองและพวกพ้องได้รับผลประโยชน์ แต่ต้องสังเวยด้วยความพินาศฉิบหายของสถาบันทั้งหลายของชาติ

สภาพเช่นนี้จึงเป็นสภาพที่ประหนึ่งว่าประเทศไทยได้เดินทางมาถึงทางสามแพร่ง เป็นจุดสำคัญที่ผู้คนในบ้านเมืองจะต้องทำความเข้าใจและใคร่ครวญถึงทางไปให้ดีว่าจะไปทางไหนกัน

แพร่งแรก ก็คือพรรคร่วมรัฐบาลยังสามารถฮั้วตกลงปลงใจร่วมหอลงโรงกันต่อไปได้ แม้ว่าจะมีความขัดแย้งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มาถึงขั้นแทบไม่เผาผีกันแล้ว ซึ่งถ้าหากเป็นไปในทางสายนี้ ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าค่าตอบแทนในการร่วมหอลงโรงกันต่อไปนั้นก็คือผลประโยชน์แห่งชาติที่จะต้องจ่ายในจำนวนที่สูงที่สุด และลือลั่นที่สุดด้วย และในที่สุดผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ทั้งปวงก็คงยอมทนต่อไปไม่ได้อยู่ดี

แพร่งที่สอง ซึ่งเป็นที่จับจ้องกันอยู่ในขณะนี้ว่าจะมีการยุบสภา เพราะการที่พรรคประชาธิปัตย์ลงมติข้างมากไม่เข้าร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นก็คือการทิ้งทวนหรือการเกหมดหน้าตักว่าเป็นไรก็เป็นกัน จึงเป็นที่คาดการณ์กันว่าจะมีการยุบสภา

ทางสายนี้ตัดทิ้งไปได้ เพราะมีหรือที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์จะไม่รู้ว่ายามที่เปิดสมัยประชุมรัฐสภานั้น ฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายเมื่อใดก็ยุบสภาไม่ได้เมื่อนั้น ดังนั้นการเดินหน้าเผชิญกับความขัดแย้งโดยไม่แยแสว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่ดำรงภาพลักษณ์ที่งดงามไว้ ก็คือท่าทีที่ไม่กลัวการยุบสภา และไม่มีการยุบสภานั่นเอง

ไม่สังเกตกันบ้างหรือว่าแม้จะเกิดความขัดแย้งเรื่องแก้รัฐธรรมนูญถึงเพียงนี้แล้ว ฝ่ายค้านก็ยังไม่กล้ายื่นญัตติไม่ไว้วางใจเพื่อตรึงกางเขนป้องกันไม่ให้รัฐบาลยุบสภา

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง มังกรการเมือง ผู้มีวิชาตัวเบาล้ำเลิศ และจมูกสุดแสนจะไว ได้กล่าวไว้อย่างแหลมคมว่ารัฐบาลจะอยู่ไปได้อีก 20 เดือน พูดง่ายๆ ก็คืออยู่ไปจนครบวาระนั่นแหละ นี่อะไรกัน

เป็นการอ่านหมากการเมืองขาดสะบั้นว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้รับพรจากสวรรค์ให้มีอายุขัยเท่ากับอายุของสภา เพื่อแก้ไขบรรเทาปัญหาของบ้านเมือง

อายุขัยแห่งอำนาจของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี คืออายุขัยของรัฐสภาชุดนี้ นี่คือสิ่งที่ฟันธงตามคำกล่าวของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ไว้ได้เลย

เพราะเหตุนั้น ฝ่ายค้านจึงยังละล้าละลัง พะว้าพะวังในการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ และถึงจะยื่นก็คงไม่มีใครทรยศหักหลังหรือถอนตัว

เพราะนั่นคือการบั่นทอนอายุขัยของสภา และนำชีวิตชีวาเข้าไปเสี่ยงในสิ่งที่มองไม่เห็น

ดังนั้นแม้จะมีการวิ่งเต้นกันคึกคัก ไม่ว่าจะเป็นระดับพลเอก หรือระดับคุณหญิง หรือระดับนักการเมืองมือเก๋าหรือมือเก๊า และไม่ว่าจะมีการเสนอผลประโยชน์และตำแหน่งประการใด ก็ไม่มีพรรคร่วมคนไหนกล้าถอนตัว

วันนี้กล่าวได้แล้วว่าแผนการทำให้พรรคร่วมรัฐบาลทรยศหักหลังกันและถอนตัวนั้น ล้มเหลวไปไม่เป็นท่าแล้ว ใครที่รับงานนี้มาจะหน้าหงิก หน้าหงาย หน้างอประการใด หรือจะหลบลี้หนีหน้าประการใด ก็สังเกตกันเอาเองเถิด

แพร่งที่สาม
คือแพร่งที่จะไปสู่การรัฐประหาร ตามชะตากรรมของบ้านเมืองที่มีการวางลัคนาให้ดาวพระอังคารเป็นศูนย์พาหะนำหน้าลัคนาในดวงเมือง

ดังนั้นไม่ว่าหน้าไหนหากกล่าวว่าไม่มีรัฐประหารก็เป็นคำกล่าวที่โง่ที่สุด หรือไม่ก็เป็นคำกล่าวที่เชื่อถือไม่ได้

เพราะคำพูดของผู้มีอำนาจที่เชื่อถือไม่ได้และห้ามมิให้เชื่อถือนั้นมีอยู่ 3 เรื่อง คือเรื่องประกาศสงคราม เรื่องลดค่าเงิน และเรื่องการรัฐประหาร ไม่ว่าพูดว่ามีหรือไม่มี ทำหรือไม่ทำ เป็นเรื่องต้องห้ามมิให้รับฟังเชื่อถือทั้งสิ้น

แต่ขณะเดียวกัน ใครคิดทำการรัฐประหารก็โง่เต็มที ที่ว่าโง่นี้ไม่ใช่เพราะจะไปเข้าทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่ประการใด เพราะในวันนี้ไม่มีทางสำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คงมีแต่ “ท่า” คือหากไม่ใช่ท่าอากาศยานก็ต้องเป็นท่าเรือเท่านั้น

การรัฐประหารนั้นคือการใช้แสนยานุภาพหรือกำลังทางทหารเข้าจัดการแก้ไขปัญหาอำนาจรัฐ ซึ่งเมื่อกล่าวถึงที่สุดแล้วก็เป็นแค่วิธีหนึ่งในหลายๆ วิธีที่มีอยู่เท่านั้น

การใช้วิธีรัฐประหาร บางครั้งก็ได้ผลดี บางครั้งก็ไม่ได้ผลดี การได้ผลดีหรือไม่ดีไม่ได้อยู่ที่วิธี แต่อยู่ที่คนปฏิบัติ อุปมาดั่งคนใช้สิ่วใช้ขวาน หากเป็นคนมีฝีมือก็สามารถประดิษฐ์สิ่งสร้างสรรค์สวยงามเป็นงานศิลป์ชั้นสูงได้ แต่หากไร้ฝีมือ แค่ทำไม้ตีหมาก็ยังหาความงดงามแม้แต่น้อยไม่ได้

ผู้มีปัญญาย่อมสามารถเลือกสรรวิธีและใช้วิธีการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในทางที่จะเป็นผลดีแก่บ้านเมืองและประชาชนได้

มีคำคมของหลักวิชากระบี่ว่า อันเซียนกระบี่นั้น แม้ในมือถือกิ่งไม้ใบหญ้าก็สามารถเปล่งอานุภาพประดุจเป็นกระบี่วิเศษได้ แต่สำหรับมือกระบี่ชั้นกระจอกงอกง่อย ขี้ขลาด ตาขาว โลภโมโทสัน ต่อให้ถือกระบี่วิเศษก็กลับไร้คุณค่า ประหนึ่งถือกิ่งไม้ใบหญ้าเท่านั้นเอง

ประเทศไทยในสถานการณ์ที่มาถึงทางสามแพร่งนี้ จะไปกันทางไหน จึงเป็นเรื่องที่คนไทยทั้งประเทศจะต้องติดตามจับตาดูอย่างใกล้ชิด เพราะมันเกี่ยวข้องกับชีวิตและอนาคตของประเทศและประชาชน รวมทั้งคนไทยทุกคนด้วย.

กำลังโหลดความคิดเห็น