นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 26 ก.พ.ว่า เรื่องนี้ไม่อยากให้ทุกฝ่ายชี้นำการตัดสินของศาล เพราะตอนนี้มีการพูดถึงว่าจะมีการยึดทรพย์หมดหรือยึดเท่าไหร่ ซึ่งตนมองว่าไม่เหมาะสม ไม่ควรก้าวล่วง
ส่วนผลการตัดสินในวันที่ 26 ก.พ.หลายฝ่ายเกรงว่ากลุ่มคนเสื้อแดงอาจจะไม่ยอมรับจนทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองนั้น นายสมชาย กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่ความยุติธรรม ถ้ามีความยุติธรรมก็คงไม่มีปัญหาอะไร ทุกฝ่ายก็ยอมรับ แต่ตนคงไปตอบแทนเสื้อแดงไม่ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร จะยอมรับหรือไม่
นายสมชาย ยังกล่าวถึงกรณีที่วุฒิสภาจะมีการลงมติถอดถอนจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีกรณี7ตุลาคม2551ด้วยว่า หากวุฒิสภาตรวจสอบก็คงเป็นตามกระบวนการ แต่ในส่วนของคดีอาญานั้น ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ได้ดำเนินการอยู่แล้ว แต่ถ้าวุฒิสภายังต้องการจะถอดถอนตนก็มองว่าพ้นเวลาไปแล้ว เพราะตนไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง มานานแล้ว แต่หากจะมีการดำเนินการก็ควรจะให้โอกาสตนไปชี้แจงในสภาด้วย
การที่ผมไปร่วมประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.นั้นเป็นเพราะประธานรัฐสภา ยืนยันว่าไม่สามารถเลื่อนประชุมได้จึงต้องประชุมที่รัฐสภา ทำให้มีการบุกล้อมสภาฯ ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตนก็คือผู้ได้รับผลกระทบเพราะต้องหนีขึ้นเฮลิคอปเตอร์ หากหนีไม่ทันก็อาจตายได้ ส่วนการดำเนินการของ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ฎิบัติตามหน้าที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ ซึ่งเห็นด้วยกับ ก.ตร.ที่มีคำสั่งให้ 3 นายตำรวจกลับเข้าราชการ และหนึ่งในนั้นคืออดีตผบ.ตร.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์มีมติไม่ร่วมแก้รัฐธรรมนูญกับพรรคร่วมรัฐบาล และให้นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแถลงว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ตกลงกับพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า มีเงื่อนไขในการตกลงที่ชัดเจน 2 ข้อคือ 1.ต้องไม่นิรโทษกรรมให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ 2. ต้องไม่คืนทรัพย์สินให้พ.ต.ท.ทักษิณ จึงอยากถามว่า อำนาจในการคืนหรือไม่คืนทรัพย์สินนั้นเป็นของนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลอย่างนั้นหรือ นายอภิสิทธิ์คิดว่าตัวเองสั่งศาลได้ใช่หรือไม่ ขอเรียกร้องให้ประธานศาลฎีกาฯ ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และพยายามแทรกแซงศาล หากไม่ดำเนินการจะมีประชาชนไปร้องทุกข์กล่าวโทษประธานศาลฎีกาในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยเช่นกัน
ส่วนผลการตัดสินในวันที่ 26 ก.พ.หลายฝ่ายเกรงว่ากลุ่มคนเสื้อแดงอาจจะไม่ยอมรับจนทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองนั้น นายสมชาย กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่ความยุติธรรม ถ้ามีความยุติธรรมก็คงไม่มีปัญหาอะไร ทุกฝ่ายก็ยอมรับ แต่ตนคงไปตอบแทนเสื้อแดงไม่ได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร จะยอมรับหรือไม่
นายสมชาย ยังกล่าวถึงกรณีที่วุฒิสภาจะมีการลงมติถอดถอนจากตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีกรณี7ตุลาคม2551ด้วยว่า หากวุฒิสภาตรวจสอบก็คงเป็นตามกระบวนการ แต่ในส่วนของคดีอาญานั้น ทางคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ได้ดำเนินการอยู่แล้ว แต่ถ้าวุฒิสภายังต้องการจะถอดถอนตนก็มองว่าพ้นเวลาไปแล้ว เพราะตนไม่ได้อยู่ในตำแหน่ง มานานแล้ว แต่หากจะมีการดำเนินการก็ควรจะให้โอกาสตนไปชี้แจงในสภาด้วย
การที่ผมไปร่วมประชุมรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.นั้นเป็นเพราะประธานรัฐสภา ยืนยันว่าไม่สามารถเลื่อนประชุมได้จึงต้องประชุมที่รัฐสภา ทำให้มีการบุกล้อมสภาฯ ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตนก็คือผู้ได้รับผลกระทบเพราะต้องหนีขึ้นเฮลิคอปเตอร์ หากหนีไม่ทันก็อาจตายได้ ส่วนการดำเนินการของ เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ฎิบัติตามหน้าที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ ซึ่งเห็นด้วยกับ ก.ตร.ที่มีคำสั่งให้ 3 นายตำรวจกลับเข้าราชการ และหนึ่งในนั้นคืออดีตผบ.ตร.
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวถึงกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์มีมติไม่ร่วมแก้รัฐธรรมนูญกับพรรคร่วมรัฐบาล และให้นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาแถลงว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ตกลงกับพรรคร่วมรัฐบาลว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า มีเงื่อนไขในการตกลงที่ชัดเจน 2 ข้อคือ 1.ต้องไม่นิรโทษกรรมให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ 2. ต้องไม่คืนทรัพย์สินให้พ.ต.ท.ทักษิณ จึงอยากถามว่า อำนาจในการคืนหรือไม่คืนทรัพย์สินนั้นเป็นของนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลอย่างนั้นหรือ นายอภิสิทธิ์คิดว่าตัวเองสั่งศาลได้ใช่หรือไม่ ขอเรียกร้องให้ประธานศาลฎีกาฯ ดำเนินคดีกับนายอภิสิทธิ์ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และพยายามแทรกแซงศาล หากไม่ดำเนินการจะมีประชาชนไปร้องทุกข์กล่าวโทษประธานศาลฎีกาในข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยเช่นกัน