ASTVผู้จัดการรายวัน – ขานรับทีวีดาวเทียมบูม “อาร์เอส” เตรียมผุด 2 ช่องเคเบิลทีวีเพิ่ม หลังพบสบายดีทีวี และยู ชาแนล ได้รับการตอบรับสูง สิ้นปีมั่นใจรายได้แตะ 100 ล้านบาท ชี้อีก 2 ปี ธุรกิจเคเบิลทีวีโกยรายได้รองจากธุรกิจเพลงแน่นอน จากสิ้นปีนี้อยู่ที่ 5% ของรายได้รวมที่ 2,900 ล้านบาท
นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจเคเบิลทีวีในปีนี้ เชื่อว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ส่วนสำคัญมาจากการที่เชื่อว่า ปีนี้จะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาลงทุนผุดช่องรายการสูงขึ้น เนื่องจากการลงทุนไม่สูงอย่างในอดีตที่ผ่านมา ที่ต้องมีเม็ดเงินในระดับร้อยล้าน
แต่ในปัจจุบันอยู่ในระดับหลักสิบล้านบาทก็สามารถเป็นเจ้าของช่องรายการเองได้แล้ว
ขณะเดียวกันในแง่ของการลงโฆษณาในสื่อเคเบิลทีวี ปีนี้เชื่อว่าเอเจนซี่โฆษณาและเจ้าของสินค้ามีความมั่นใจที่จะหันมาใช้โฆษณาในสื่อเคเบิลทีวีสูงขึ้น เพราะปัจจุบันตัวเลขสถิติต่างๆที่เกิดขึ้นในสื่อเคเบิลทีวี เป็นตัวเลขที่ยืนยันได้ ในการโฆษณาจึงมีความสำเร็จสูง เข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้ชัดเจน ดังนั้นจึงคาดว่าสิ้นปีนี้ เม็ดเงินโฆษณาในสื่อเคเบิลทีวี น่าจะมีมูลค่าราว 5% เมื่อเทียบกับเม็ดเงินโฆษณาในสื่อโทรทัศน์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการดึงมาจากสื่อโฆษณาในโทรทัศน์นั่นเอง
อย่างไรก็ตามในส่วนของอาร์เอส ตามแผนการของธุรกิจเคเบิลทีวี มีแผนที่จะเปิดตัวช่องรายการทั้งสิ้น 6 ช่อง ปีที่ผ่านมาออกอากาศแล้ว 2 ช่อง โดยออกอากาศอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา คือ ช่อง สบายดี จับกลุ่มแมส เป็นช่องวาไรตี้เพลงตั้งแต่ลูกทุ่ง และสตริง และอีกช่องคือ ยู ชาแนล จับฐานวัยรุ่น เป็นวาไรตี้เพลงเช่นเดียวกัน
โดยหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พบว่า 4 เดือนที่เริ่มขายโฆษณาอย่างจริงจัง ทั้ง 2 ช่อง ทำรายได้รวมกันได้ถึง 20 ล้านบาทในสิ้นปี 2552 โดยสัดส่วนระหว่างการขายโฆษณาและการดาวน์โหลดเพลง และการส่งเอสเอ็มเอส มีสัดส่วนใกล้เคียงกับที่ 50% เท่าๆกัน
โดยในปีนี้ลูกค้าที่ซื้อเวลาโฆษณาในช่องสบายดีทีวี ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าระดับใหญ่ จับกลุ่มแมส เช่น กระทิงแดง, โตโยต้า, ไวตามิ้ลด์ ส่วนยูชาแนล ได้แก่ วัตสัน, กลุ่มมือถือ, ห้างสรรพสินค้า ขนมขบเคี้ยว ซึ่งลูกค้าที่ซื้อสื่อโฆษณาจะมีทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว ขณะที่ราคาโฆษณาเฉลี่ยคิดในอัตรานาทีละ 20,000 บาท
โดยทั้งสองช่องนี้ เชื่อว่าปีนี้จะได้ความสนใจและมีฐานผู้ชมเพิ่มมากขึ้น หรือภายในสิ้นปีนี้ เชื่อว่า จะสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้กว่า 5 ล้านครัวในการรับชมผ่านจานรับชม แบบ C Band รวมไปถึง จานรับชมแบบ KU Band ขณะที่ในส่วนของรายได้นั้น เชื่อว่าปีนี้เอเจนซี่โฆษณาและเจ้าของสินค้าจะให้ความสนใจลงโฆษณามากขึ้น โดยสัดส่วนรายได้โฆษณาในปีนี้ คาดว่าจะเป็นรายได้หลักที่ 65% และอีก 25% มาจากการดาวน์โหลดเพลงและเอสเอ็มเอส และอีก 10% มาจากกิจกรรมต่างๆ โดยสิ้นปีนี้เชื่อว่าทั้ง 2 ช่องรายการ จะทำรายได้ให้กว่า 100 ล้านบาท
นางพรพรรณ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการลงทุนขยายช่องเพิ่มนั้น ปีนี้จะได้เห็นอีก 2 ช่อง ลงทุนช่องละประมาณ 30-60 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับคอนเท้นต์ที่จะนำเสนอ โดยช่องแรกจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสหนึ่งนี้ โดยจะเป็นช่องในรูปแบบของเจนเนอรัล เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ส่วนอีกช่องนั้นกำลังอยู่ในช่วงของการวางแผน แต่มีแนวโน้มที่จะออกมาเป็นช่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์กึ่งสปอร์ต
โดยการเปิดตัวช่องรายการใหม่ครั้งนี้ ตัวเลขรายได้ยังไม่ได้ประเมินว่าจะออกที่เท่าไร แต่ทั้งนี้มองว่ากลุ่มธุรกิจเคเบิลทีวีที่ทางบริษัทเข้ามารุกอย่างจริงจังครั้งนี้ ในอนาคต หรืออีกภายใน 2-3 ปีข้างหน้า จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ให้อาร์เอส เป็นอันดับสอง รองจากธุรกิจเพลง ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำ จากในปัจจุบันธุรกิจเคเบิลทีวี คิดเป็น 5%
ของรายได้รวมอาร์เอสในสิ้นปีนี้ที่วางไว้ 2,900 บาท อย่างไรก็ตามหากมีปัจจัยบวกเข้ามาเสริม เช่นมีการเปลี่ยนมาใช้จานรับสัญญาณแทนที่เสาอากาศอย่างรวดเร็วหรือแทนที่อย่างสมบูรณ์ใน1 ปีนี้ เชื่อว่าการที่จะได้เห็นรายได้จากเคเบิลทีวีมาเป็นอันดับสองได้เร็วยิ่งขึ้น
นางพรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจเคเบิลทีวีในปีนี้ เชื่อว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น ส่วนสำคัญมาจากการที่เชื่อว่า ปีนี้จะมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาลงทุนผุดช่องรายการสูงขึ้น เนื่องจากการลงทุนไม่สูงอย่างในอดีตที่ผ่านมา ที่ต้องมีเม็ดเงินในระดับร้อยล้าน
แต่ในปัจจุบันอยู่ในระดับหลักสิบล้านบาทก็สามารถเป็นเจ้าของช่องรายการเองได้แล้ว
ขณะเดียวกันในแง่ของการลงโฆษณาในสื่อเคเบิลทีวี ปีนี้เชื่อว่าเอเจนซี่โฆษณาและเจ้าของสินค้ามีความมั่นใจที่จะหันมาใช้โฆษณาในสื่อเคเบิลทีวีสูงขึ้น เพราะปัจจุบันตัวเลขสถิติต่างๆที่เกิดขึ้นในสื่อเคเบิลทีวี เป็นตัวเลขที่ยืนยันได้ ในการโฆษณาจึงมีความสำเร็จสูง เข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้ชัดเจน ดังนั้นจึงคาดว่าสิ้นปีนี้ เม็ดเงินโฆษณาในสื่อเคเบิลทีวี น่าจะมีมูลค่าราว 5% เมื่อเทียบกับเม็ดเงินโฆษณาในสื่อโทรทัศน์ ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการดึงมาจากสื่อโฆษณาในโทรทัศน์นั่นเอง
อย่างไรก็ตามในส่วนของอาร์เอส ตามแผนการของธุรกิจเคเบิลทีวี มีแผนที่จะเปิดตัวช่องรายการทั้งสิ้น 6 ช่อง ปีที่ผ่านมาออกอากาศแล้ว 2 ช่อง โดยออกอากาศอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนก.ค.ที่ผ่านมา คือ ช่อง สบายดี จับกลุ่มแมส เป็นช่องวาไรตี้เพลงตั้งแต่ลูกทุ่ง และสตริง และอีกช่องคือ ยู ชาแนล จับฐานวัยรุ่น เป็นวาไรตี้เพลงเช่นเดียวกัน
โดยหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พบว่า 4 เดือนที่เริ่มขายโฆษณาอย่างจริงจัง ทั้ง 2 ช่อง ทำรายได้รวมกันได้ถึง 20 ล้านบาทในสิ้นปี 2552 โดยสัดส่วนระหว่างการขายโฆษณาและการดาวน์โหลดเพลง และการส่งเอสเอ็มเอส มีสัดส่วนใกล้เคียงกับที่ 50% เท่าๆกัน
โดยในปีนี้ลูกค้าที่ซื้อเวลาโฆษณาในช่องสบายดีทีวี ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าระดับใหญ่ จับกลุ่มแมส เช่น กระทิงแดง, โตโยต้า, ไวตามิ้ลด์ ส่วนยูชาแนล ได้แก่ วัตสัน, กลุ่มมือถือ, ห้างสรรพสินค้า ขนมขบเคี้ยว ซึ่งลูกค้าที่ซื้อสื่อโฆษณาจะมีทั้งแบบระยะสั้นและระยะยาว ขณะที่ราคาโฆษณาเฉลี่ยคิดในอัตรานาทีละ 20,000 บาท
โดยทั้งสองช่องนี้ เชื่อว่าปีนี้จะได้ความสนใจและมีฐานผู้ชมเพิ่มมากขึ้น หรือภายในสิ้นปีนี้ เชื่อว่า จะสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ชมได้กว่า 5 ล้านครัวในการรับชมผ่านจานรับชม แบบ C Band รวมไปถึง จานรับชมแบบ KU Band ขณะที่ในส่วนของรายได้นั้น เชื่อว่าปีนี้เอเจนซี่โฆษณาและเจ้าของสินค้าจะให้ความสนใจลงโฆษณามากขึ้น โดยสัดส่วนรายได้โฆษณาในปีนี้ คาดว่าจะเป็นรายได้หลักที่ 65% และอีก 25% มาจากการดาวน์โหลดเพลงและเอสเอ็มเอส และอีก 10% มาจากกิจกรรมต่างๆ โดยสิ้นปีนี้เชื่อว่าทั้ง 2 ช่องรายการ จะทำรายได้ให้กว่า 100 ล้านบาท
นางพรพรรณ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการลงทุนขยายช่องเพิ่มนั้น ปีนี้จะได้เห็นอีก 2 ช่อง ลงทุนช่องละประมาณ 30-60 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับคอนเท้นต์ที่จะนำเสนอ โดยช่องแรกจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสหนึ่งนี้ โดยจะเป็นช่องในรูปแบบของเจนเนอรัล เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ส่วนอีกช่องนั้นกำลังอยู่ในช่วงของการวางแผน แต่มีแนวโน้มที่จะออกมาเป็นช่องเอ็นเตอร์เทนเม้นท์กึ่งสปอร์ต
โดยการเปิดตัวช่องรายการใหม่ครั้งนี้ ตัวเลขรายได้ยังไม่ได้ประเมินว่าจะออกที่เท่าไร แต่ทั้งนี้มองว่ากลุ่มธุรกิจเคเบิลทีวีที่ทางบริษัทเข้ามารุกอย่างจริงจังครั้งนี้ ในอนาคต หรืออีกภายใน 2-3 ปีข้างหน้า จะเป็นกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ให้อาร์เอส เป็นอันดับสอง รองจากธุรกิจเพลง ซึ่งเป็นธุรกิจต้นน้ำ จากในปัจจุบันธุรกิจเคเบิลทีวี คิดเป็น 5%
ของรายได้รวมอาร์เอสในสิ้นปีนี้ที่วางไว้ 2,900 บาท อย่างไรก็ตามหากมีปัจจัยบวกเข้ามาเสริม เช่นมีการเปลี่ยนมาใช้จานรับสัญญาณแทนที่เสาอากาศอย่างรวดเร็วหรือแทนที่อย่างสมบูรณ์ใน1 ปีนี้ เชื่อว่าการที่จะได้เห็นรายได้จากเคเบิลทีวีมาเป็นอันดับสองได้เร็วยิ่งขึ้น