นายพลศักดิ์ เลิศพุฒิภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT แจ้งว่าบริษัทได้เตรียมขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับคำสั่งซื้อจำนวนมากจากทั้งลูกค้าเดิม และลูกค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้รับการยืนยันคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นอย่างมากจากลูกค้าหลักทั้งในส่วนของ MMA และ IC ทำให้บริษัทลงทุนเพิ่มกว่า 150 ล้านบาทในการซื้อเครื่องจักรเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตของ MMAขึ้นอีก 25 % เป็น 100 ล้านชิ้นต่อปีและเพิ่มกำลังการผลิตธุรกิจ IC ขึ้นอีกกว่า 70 % เป็น 1,200 ล้านชิ้นต่อปี พร้อมรับพนักงานเพิ่มอีกเท่าตัว เพื่อรองรับออร์เดอร์จากลูกค้าที่จะเข้ามาช่วงครึ่งปีแรก
" เราคาดว่าปีนี้ บริษัทจะเติบโตทางธุรกิจอย่างสูง ทั้งรายได้รวมและกำไรซึ่งคาดว่าโตไม่น้อยกว่า 30 % จากปี 52 เนื่องจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทำให้บริษัทมี economy of scale จึงช่วยทำให้มี เน็ต มาร์จิ้น สูงขึ้นมากเช่นกันรวมถึงสินค้าฮาร์ดดิสก์ ซึ่งที่ผ่านมามีอัตรากำไรค่อนข้างน้อย แต่การเพิ่มจำนวนการผลิตมากขึ้น ทำให้มีเน็ตมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ "
นอกจากนี้การที่ตลาดโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน (Smart Phone) และ ทัชโฟน (Touch Phone) กำลังบูมอย่างรุนแรงทั่วโลก ทำให้บริษัทซึ่งเป็น Primary Source ของชิ้นส่วนสำคัญในระบบ Touch Screen ได้รับออร์เดอร์ เพิ่มขึ้นสูง ทั้งจากลูกค้าเก่าและลูกค้าปลายทางรายใหม่ โดยคาดว่าบริษัทจะผลิตระบบ Touch Screen เพิ่มขึ้นกว่า 50% จากปีที่แล้ว ซึ่ง ตลาด Smart Phone คาดว่าจะมียอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเป็นกว่า 200 ล้านเครื่องในปี 54 ขณะเดียวกัน บริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าในกลุ่ม IC สูงขึ้นทั้งจากลูกค้าเก่าและใหม่
ขณะที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้นหลังจากนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนชำระหนี้หมด ทำให้มีอัตราส่วนหนี้สิน (ที่เสียดอกเบี้ย ) ต่อทุนลดเหลือ0.58 เท่า และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดเหลือ 1.54 เท่า ซึ่งลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยปีละกว่า 30 ล้านบาท และอัตราส่วนทางการเงินปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มีอัตราผลตอบแทนในส่วนของผู้ถือหุ้นสูงถึง 19.6% ซึ่งสูงสุดในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
" เราคาดว่าปีนี้ บริษัทจะเติบโตทางธุรกิจอย่างสูง ทั้งรายได้รวมและกำไรซึ่งคาดว่าโตไม่น้อยกว่า 30 % จากปี 52 เนื่องจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทำให้บริษัทมี economy of scale จึงช่วยทำให้มี เน็ต มาร์จิ้น สูงขึ้นมากเช่นกันรวมถึงสินค้าฮาร์ดดิสก์ ซึ่งที่ผ่านมามีอัตรากำไรค่อนข้างน้อย แต่การเพิ่มจำนวนการผลิตมากขึ้น ทำให้มีเน็ตมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ "
นอกจากนี้การที่ตลาดโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน (Smart Phone) และ ทัชโฟน (Touch Phone) กำลังบูมอย่างรุนแรงทั่วโลก ทำให้บริษัทซึ่งเป็น Primary Source ของชิ้นส่วนสำคัญในระบบ Touch Screen ได้รับออร์เดอร์ เพิ่มขึ้นสูง ทั้งจากลูกค้าเก่าและลูกค้าปลายทางรายใหม่ โดยคาดว่าบริษัทจะผลิตระบบ Touch Screen เพิ่มขึ้นกว่า 50% จากปีที่แล้ว ซึ่ง ตลาด Smart Phone คาดว่าจะมียอดขายทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงเป็นกว่า 200 ล้านเครื่องในปี 54 ขณะเดียวกัน บริษัทได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าในกลุ่ม IC สูงขึ้นทั้งจากลูกค้าเก่าและใหม่
ขณะที่ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้นหลังจากนำเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนชำระหนี้หมด ทำให้มีอัตราส่วนหนี้สิน (ที่เสียดอกเบี้ย ) ต่อทุนลดเหลือ0.58 เท่า และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนลดเหลือ 1.54 เท่า ซึ่งลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยปีละกว่า 30 ล้านบาท และอัตราส่วนทางการเงินปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้มีอัตราผลตอบแทนในส่วนของผู้ถือหุ้นสูงถึง 19.6% ซึ่งสูงสุดในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์