โอเรียนทัล อายส์ ชี้ ตลาดหนังไทยเริ่มกลับมาเฟื่องปีนี้อีกรอบ ชี้กลุ่มทุนหน้าเก่าหน้าใหม่เตรียมลงศึกอีกเพียบ พร้อมทุ่มงบลงทุน 200 ล้านบาทต่อปี สร้าง 4 เรื่อง ผนึกมีเดียเอเซียขายหนังทั่วโลก
นายวัชรินทร์ สุทธิประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเรียนทัล อายส์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้คาดว่าจะมีผู้ประกอบการสร้างหนังไทยเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ทั้งจากกลุ่มทุนหน้าใหม่และกลุ่มมืออาชีพที่แยกตัวออกมาตั้งบริษัทใหม่ เนื่องจากประเมินกันว่าปีนี้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว อีกทั้งธุรกิจหนังไทยก็เริ่มกลับสู่ยุคที่กลับมาบูมอีกครั้งแล้วซึ่งตลาดหนังไทยปีนี้เริ่มมีพื้นที่มากขึ้นอีกแล้ว โดยปีที่แล้วสัดส่วนตลาดหนังไทยโดยรวมอยู่ที่ 30% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 3,000 กว่าล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะมีแชร์เพิ่มเป็น 40%
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกกลุ่มจะประสบความสำเร็จทั้งหมด เพราะไม่ใช่ขึ้นกับฝีมือและทุนสร้างเท่านั้น แต่จะต้องมีความพร้อมทั้งทางด้านการตลาด การจัดจำหน่าย และการผลิต และช่องทางต่างๆในการฉายหนัง จึงจะสามารถแข่งขันในตลาดได้ ซึ่งหากกลุ่มใดไม่แกร่งทุกอย่างก็จะเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้วิธีการหาพันธมิตรเข้ามาช่วยสร้างธุรกิจซึ่งหากผลงานไม่มีคุณภาพจริงก็ลำบากเช่นกัน
อีกทั้งเทรนด์การสร้างหนังในรูปแบบโคโปรดักชั้นหรือการร่วมทุนกันระหว่างผู้สร้างต่างชาติด้วยกันจะมีมากขึ้น เพราะจะมีข้อดีทำให้หนังมีศักยภาพและคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งเป็นการลดความเสี่ยงการลงทุน เพราะจะร่วมทุนกันทำให้มีทุนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในต่างประเทศรูปแบบนี้มาแรงมาก แต่ในเมือวไทยยังไม่ค่อยเปนที่นิยมนัก แต่จากนี้คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น
ในส่วนแผนงานของบริษัทฯ จะมีการลงทุนแฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปีเหมือนเดิม สร้างหนังออกฉายประมาณ 3-4 เรื่อง ซึ่งขณะนี้ยอมรับว่าอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับผู้สร้างหนังต่างชาติหลายประเทศเช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี ในการสร้างหนังร่วมกันด้วย คาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในปีนี้
ล่าสุดบริษัทฯได้แต่งตั้งให้บริษัท มีเดียเอเซียกรุ๊ป เป็นผู้จัดจำหน่ายหนังในตลาดโลกให้กับหนัง 2 เรื่องคือ เรื่อง มายเบสท์บอดี้การ์ด และ เรื่อง 9วัด ส่วนในไทยนั้นก่อนหน้านี้ได้เซ็นสัญญากับทางโซนี่พิคเจอร์เป็นผู้รับผิดชอบไปแล้ว ขณะที่ช่องทางหนังแผ่นหรือ โฮมวิดีโอ อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทอื่นคาดสรุปเร็วๆนี้ โดยแต่ละเรื่องลงทุนเฉลี่ย 40 ล้านบาทคาดว่าจะสร้างรายได้คุ้มทุนในไทย ส่วนรายได้ต่างประเทศน่าจะเป็นส่วนกำไรได้ ซึ่งปรกติแล้วหนังที่ทำรายได้ในต่างประเทศน่าจะมีสัดส่วนประมาณ 25-30% จากงบลงทุนสร้าง
แนวทางการสร้างหนังของเราจะมีหลายรูปแบบเพื่อสนองความต้องการาของตลาดแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพด้วยงบประมาณการสร้างที่มาก ไม่ว่าจะเป็นแอคชั่น รัก สยองขวัญ ตลก และแนวใหม่ที่กำลังพิจารณาเตรียมการคือ แนวสถานการณ์ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในต่างประเทศ
สำหรับรายการทีวีนั้นปัจจุบันมีเพียงรายการเดียวคือ ปริ้นเซสไดอารี่ ทางช่องโมเดิร์นไนน์ วางแผนที่จะผลิตรายการเพิ่มขึ้นอีก 2 รายการเป็นแนววาไรตี้ คาดว่าในปีนี้จะสรุปรายละเอียดได้
นายวัชรินทร์ สุทธิประภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเรียนทัล อายส์ จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้คาดว่าจะมีผู้ประกอบการสร้างหนังไทยเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ทั้งจากกลุ่มทุนหน้าใหม่และกลุ่มมืออาชีพที่แยกตัวออกมาตั้งบริษัทใหม่ เนื่องจากประเมินกันว่าปีนี้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะดีกว่าปีที่แล้ว อีกทั้งธุรกิจหนังไทยก็เริ่มกลับสู่ยุคที่กลับมาบูมอีกครั้งแล้วซึ่งตลาดหนังไทยปีนี้เริ่มมีพื้นที่มากขึ้นอีกแล้ว โดยปีที่แล้วสัดส่วนตลาดหนังไทยโดยรวมอยู่ที่ 30% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า 3,000 กว่าล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะมีแชร์เพิ่มเป็น 40%
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกกลุ่มจะประสบความสำเร็จทั้งหมด เพราะไม่ใช่ขึ้นกับฝีมือและทุนสร้างเท่านั้น แต่จะต้องมีความพร้อมทั้งทางด้านการตลาด การจัดจำหน่าย และการผลิต และช่องทางต่างๆในการฉายหนัง จึงจะสามารถแข่งขันในตลาดได้ ซึ่งหากกลุ่มใดไม่แกร่งทุกอย่างก็จะเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้วิธีการหาพันธมิตรเข้ามาช่วยสร้างธุรกิจซึ่งหากผลงานไม่มีคุณภาพจริงก็ลำบากเช่นกัน
อีกทั้งเทรนด์การสร้างหนังในรูปแบบโคโปรดักชั้นหรือการร่วมทุนกันระหว่างผู้สร้างต่างชาติด้วยกันจะมีมากขึ้น เพราะจะมีข้อดีทำให้หนังมีศักยภาพและคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งเป็นการลดความเสี่ยงการลงทุน เพราะจะร่วมทุนกันทำให้มีทุนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งในต่างประเทศรูปแบบนี้มาแรงมาก แต่ในเมือวไทยยังไม่ค่อยเปนที่นิยมนัก แต่จากนี้คาดว่าจะมีแนวโน้มที่ดีมากขึ้น
ในส่วนแผนงานของบริษัทฯ จะมีการลงทุนแฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปีเหมือนเดิม สร้างหนังออกฉายประมาณ 3-4 เรื่อง ซึ่งขณะนี้ยอมรับว่าอยู่ระหว่างการเจรจาร่วมทุนกับผู้สร้างหนังต่างชาติหลายประเทศเช่น ฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี ในการสร้างหนังร่วมกันด้วย คาดว่าจะสามารถสรุปได้ภายในปีนี้
ล่าสุดบริษัทฯได้แต่งตั้งให้บริษัท มีเดียเอเซียกรุ๊ป เป็นผู้จัดจำหน่ายหนังในตลาดโลกให้กับหนัง 2 เรื่องคือ เรื่อง มายเบสท์บอดี้การ์ด และ เรื่อง 9วัด ส่วนในไทยนั้นก่อนหน้านี้ได้เซ็นสัญญากับทางโซนี่พิคเจอร์เป็นผู้รับผิดชอบไปแล้ว ขณะที่ช่องทางหนังแผ่นหรือ โฮมวิดีโอ อยู่ระหว่างการเจรจากับบริษัทอื่นคาดสรุปเร็วๆนี้ โดยแต่ละเรื่องลงทุนเฉลี่ย 40 ล้านบาทคาดว่าจะสร้างรายได้คุ้มทุนในไทย ส่วนรายได้ต่างประเทศน่าจะเป็นส่วนกำไรได้ ซึ่งปรกติแล้วหนังที่ทำรายได้ในต่างประเทศน่าจะมีสัดส่วนประมาณ 25-30% จากงบลงทุนสร้าง
แนวทางการสร้างหนังของเราจะมีหลายรูปแบบเพื่อสนองความต้องการาของตลาดแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งคุณภาพด้วยงบประมาณการสร้างที่มาก ไม่ว่าจะเป็นแอคชั่น รัก สยองขวัญ ตลก และแนวใหม่ที่กำลังพิจารณาเตรียมการคือ แนวสถานการณ์ ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างมากในต่างประเทศ
สำหรับรายการทีวีนั้นปัจจุบันมีเพียงรายการเดียวคือ ปริ้นเซสไดอารี่ ทางช่องโมเดิร์นไนน์ วางแผนที่จะผลิตรายการเพิ่มขึ้นอีก 2 รายการเป็นแนววาไรตี้ คาดว่าในปีนี้จะสรุปรายละเอียดได้