สองบิ๊กบอสวงการประชาสัมพันธ์ฟันธง ปีนี้ตลาดรวมสดใสคาดโต 10%จากปีที่แล้วที่ทรงตัว เหตุความกดดันและวิกฤติทางสังคมเป็นตัวเร่งผลักดัน ชี้แต่ละค่ายต้องสร้างจุดต่างดึงดูดลูกค้า เผย”สื่อสารภายใน-เพอร์ซันนอลแบรนด์-ไอเอสอาร์” มาแรง จับตาพีอาร์หน้าใหม่จ้องเข้าวงการ
แหล่งข่าวจากวงการบริษัทประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า การแข่งขันของธุรกิจบริษัทที่ให้บริการด้านประชาสัมพันธ์และที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ในปี 2553 นี้มีแนวโน้มสดใสและทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2552 ที่ผ่านมา ทั้งจากการรุกทำตลาดอย่างหนักของผู้ประกอบการรายเดิม ที่ต้องการขยายตลาดและส่วนแบ่งตลาด เนื่องจากมองว่า สภาพเศรษฐกิจเริ่มกลับมากระเตื้องขึ้น คาดว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจประชาสัมพันธ์ ทำให้จะมีปริมาณงานจำนวนมากขึ้น
ขณะที่มีแนวโน้มอย่างมากด้วยว่า จะมีบริษัทประชาสัมพันธ์เกิดขึ้นมาใหม่อีกจำนวนมาก ทั้งจากกลุ่มของคนไทยและบริษัทข้ามชาติที่จะขยายในส่วนนี้เพิ่มขึ้นด้วยในตลาดเมืองไทย ปัจจุบันบริษัทฯที่ดำเนินธุรกิจประชาสัมพันธ์ในไทยมีรายใหญ่ไม่กี่รายทั้งที่เป็นต่างชาติและเป็นบริษัทไทยเอง เช่น บางกอกพีอาร์, ดีซีฯ, สยามพีอาร์, 124คอมมูนิเคชั่น, อาซีแฮมเบอร์สันมาสเทลเลอร์, โอกิลวี่พีอาร์ เป็นต้น นอกนั้นก็เป็นระดับกลางและรายย่อย
นายคริส ฮัสซัน กรรมการผู้จัดการ บริษัทบางกอก พับลิค รีเลชั่นส์ จำกัด หรือบางกอกพีอาร์ซึ่งเป็นบริษัทระดับใหญ่รายหนึ่งของไทยมองว่าการแข่งขันในตลาดรวมจะเข้มข้นขึ้น ซึ่งแต่ละบริษัทจำเป็นที่จะต้องสร้างเอกลักษณ์และนำเสนอกลยุทธ์ของตัวเองที่แตกต่างจากรายอื่นๆเพื่อสร้างแรงดึงดูดให้กับลูกค้าในการเลือกใช้บริการ
ขณะที่นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด รายใหญ่ของไทยอีกราย ประเมินว่า ตลาดรวมของธุรกิจประชาสัมพันธ์ในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 4-5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาทั้งระบบที่มีประมาณ 80,000-90,000 ล้านบาท จากที่ปีที่แล้วตลาดรวมไม่เติบโตคือทรงตัว
“เศรษฐกิจไทยปี 2553 นี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจคู่ค้าที่น่าจะส่งผลให้การส่งออกของไทยสูงขึ้นและการเร่งลงทุนของภาครัฐภายใต้แผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง ประกอบกับรายได้ของเกษตรกรที่สูงขึ้นตามราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก รวมถึงการจ้างงานที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะช่วยทำให้การใช้จ่ายภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามภาครัฐยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย ในช่วงที่เอกชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และต้องเร่งผลักดันให้ภาคเอกชนกลับมาเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโดยเร็ว” นายดนัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากมองดูถึงพฤติกรรมการใช้งบประชาสัมพันธ์ของบริษัทเจ้าของสินค้าแล้ว นายคริส ฮัสซัน กรรมการผู้จัดการ บางกอกพีอาร์ ให้ความเห็นว่า การใช้งบประชาสัมพันธ์ของบริษัทลูกค้านั้นในภาพรวมระหว่างบริษัทไทยกับบริษัทข้ามชาติจะมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด 2 กรณีคือ 1. กรณีเป็นบริษัทข้ามชาติเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ก็ไม่ตัดงบประมาณประชาสัมพันธ์แต่ถ้าเศรษฐกิจดีก็ใช้งบปรกติไม่ได้พุ่งขึ้นมากมาย 2.กรณีบริษัทคนไทย เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีก็ตัดงบออกไปมาก แต่เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นก็หันกลับมาเพิ่มงบประมาณมากขึ้น
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ นายคริส กล่าวว่า บางกอกพีอาร์ ยังคงมุ่งแนวทางเดิมคือ การเน้นไปที่งานประชาสัมพันธ์ระดับมืออาชีพให้กับสินค้าและองค์กรต่างๆที่ต้องการและเน้นการทำงานแบบสัญญาระยะยาว ไม่เน้นการรับงานแบบเป็นจ๊อบบายจ๊อบเล็กๆ
ล่าสุดปีนี้บริษัทฯได้ลูกค้าข้ามชาติรายใหญ่รายใหม่ คือ บริษัท เนสท์เล่ จำกำด เข้ามาเป็นลูกค้าอีกราย ซึ่งถือว่ามีบิลลิ่งในการใช้งบมากทีเดียว โดยจะมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบทางด้าน คอร์ปอรเรต แบรดนด์ และการทำซีเอสอาร์ ขณะที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาต่อสัญญากับลูกค้ารายเดิมอีก 1 ราย โดยที่ปัจจุบันบริษัทบางกอกพีอาร์มีลูกค้าประมาณ 16 ราย เช่น พีแอนด์จี เนสท์เล่ โค้ก ฮอนด้า ไฟเซอร์ ผาแดง เป็นต้น ยอดบิลลิ่งอยู่ในระดับประมาณ100กว่าล้านบาท มีพนักงานประมาณ 16-18คนโดยเฉลี่ย
ส่วนนายดนัย วิเคราะห์ภาพรวมของตลาดว่า ปีนี้ธุรกิจประชาสัมพันธ์จะมีบทบาทอย่างมาก แต่ทั้งนี้รูปแบบจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการใช้สื่อ และการเกิดขึ้นของนิวมีเดียที่จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้สื่อใหม่ๆเติบโตอย่างรวดเร็วด้วย
ทั้งนี้การทำประชาสัมพันธ์ปี 2553 นื้ มั่นใจว่า ประเด็นหลักจะหนีไม่พ้น เรื่องการสื่อสารภายในองค์กรจะมีบทบาทที่ชัดเจน การทำซีเอสอาร์ โดยเน้นไปที่การทำไอเอสอาร์ก่อน เพราะบุคคลเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการพัฒนาระดับองค์กร การปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของพนักงานในองค์กร การใช้กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว การสร้างเพอร์ซันนอลแบรนด์
“สิ่งที่เราควรปลูกฝังมากที่สุดในขณะนี้คือ ความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะวิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่การล่มสลายของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯรวมถึงวิกฤติด้านการเมืองและสังคมในไทยที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนไทยล้วนมาจากสาเหตุเดียวกันคือ การขาดจิตสำนึกต่อสังคมทั้งในส่วนของปัจเจกบุคคลที่ไม่ได้รับการปลูกฝังไปจนถึงระดับผู้นำดังนั้นการประชาสัมพันธ์จึงกลายเป็นกลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้ในการกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายให้เปลี่ยนทัศนคติให้หันมารู้จักเสียสละและช่วยกันสร้างสรรสิ่งที่ดีเพื่อส่วนรวมให้มากขึ้น”นายดนัยกล่าว
ปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มลูกค้าในส่วนที่เป็นบริษัทจดทะเบียนมากขึ้นด้วย ซึ่งขณะนี้บริษัทฯมีลูกค้าที่เป็นบริษัทจดทะเบียนเพียง 10% จากลูกค้าทั้งหมด เพราะเห็นแนวโน้มของตลาดกลุ่มนี้ ด้วยกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯที่ต้องมีมาตรฐานไอเอสโอ26000 ที่ระบุไว้ว่าบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดจะต้องมีการทำซีเอสอาร์ที่ชัดเจนและเป็นระบบ
ขณะนี้ดีซี มีพนักงานกว่า 50 คน และมีลูกค้าประมาณ 20 รายกระจายทั้งภาครัฐและเอกชนไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต ธุรกิจดูแลสุขภาพท่องเที่ยวสินค้าคอนซูเมอร์ ยานยนต์ เทเลคอม อสังหาริมทรัพย์ สายการบิน เป็นต้น โดยแบ่งสัดส่วนออกเป็นลูกค้าในประเทศ 50% ลูกค้าข้ามชาติจำนวน 30% และอีก 20% เป็นภาคราชการ นายดนัยกล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีลูกค้ารายใหญ่ที่เจรจาให้ทางดีซีฯเข้าไปวางแผนธุรกิจให้ด้วย ซึ่งเป็นองค์กรที่มียอดรายได้มากกว่า 1-20,000 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากวงการบริษัทประชาสัมพันธ์ เปิดเผยว่า การแข่งขันของธุรกิจบริษัทที่ให้บริการด้านประชาสัมพันธ์และที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ในปี 2553 นี้มีแนวโน้มสดใสและทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2552 ที่ผ่านมา ทั้งจากการรุกทำตลาดอย่างหนักของผู้ประกอบการรายเดิม ที่ต้องการขยายตลาดและส่วนแบ่งตลาด เนื่องจากมองว่า สภาพเศรษฐกิจเริ่มกลับมากระเตื้องขึ้น คาดว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจประชาสัมพันธ์ ทำให้จะมีปริมาณงานจำนวนมากขึ้น
ขณะที่มีแนวโน้มอย่างมากด้วยว่า จะมีบริษัทประชาสัมพันธ์เกิดขึ้นมาใหม่อีกจำนวนมาก ทั้งจากกลุ่มของคนไทยและบริษัทข้ามชาติที่จะขยายในส่วนนี้เพิ่มขึ้นด้วยในตลาดเมืองไทย ปัจจุบันบริษัทฯที่ดำเนินธุรกิจประชาสัมพันธ์ในไทยมีรายใหญ่ไม่กี่รายทั้งที่เป็นต่างชาติและเป็นบริษัทไทยเอง เช่น บางกอกพีอาร์, ดีซีฯ, สยามพีอาร์, 124คอมมูนิเคชั่น, อาซีแฮมเบอร์สันมาสเทลเลอร์, โอกิลวี่พีอาร์ เป็นต้น นอกนั้นก็เป็นระดับกลางและรายย่อย
นายคริส ฮัสซัน กรรมการผู้จัดการ บริษัทบางกอก พับลิค รีเลชั่นส์ จำกัด หรือบางกอกพีอาร์ซึ่งเป็นบริษัทระดับใหญ่รายหนึ่งของไทยมองว่าการแข่งขันในตลาดรวมจะเข้มข้นขึ้น ซึ่งแต่ละบริษัทจำเป็นที่จะต้องสร้างเอกลักษณ์และนำเสนอกลยุทธ์ของตัวเองที่แตกต่างจากรายอื่นๆเพื่อสร้างแรงดึงดูดให้กับลูกค้าในการเลือกใช้บริการ
ขณะที่นายดนัย จันทร์เจ้าฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีซี คอนซัลแทนส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด รายใหญ่ของไทยอีกราย ประเมินว่า ตลาดรวมของธุรกิจประชาสัมพันธ์ในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 4-5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5% ของเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาทั้งระบบที่มีประมาณ 80,000-90,000 ล้านบาท จากที่ปีที่แล้วตลาดรวมไม่เติบโตคือทรงตัว
“เศรษฐกิจไทยปี 2553 นี้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับตัวที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจคู่ค้าที่น่าจะส่งผลให้การส่งออกของไทยสูงขึ้นและการเร่งลงทุนของภาครัฐภายใต้แผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง ประกอบกับรายได้ของเกษตรกรที่สูงขึ้นตามราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก รวมถึงการจ้างงานที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะช่วยทำให้การใช้จ่ายภายในประเทศปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตามภาครัฐยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมาย ในช่วงที่เอกชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และต้องเร่งผลักดันให้ภาคเอกชนกลับมาเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยโดยเร็ว” นายดนัยกล่าว
อย่างไรก็ตาม หากมองดูถึงพฤติกรรมการใช้งบประชาสัมพันธ์ของบริษัทเจ้าของสินค้าแล้ว นายคริส ฮัสซัน กรรมการผู้จัดการ บางกอกพีอาร์ ให้ความเห็นว่า การใช้งบประชาสัมพันธ์ของบริษัทลูกค้านั้นในภาพรวมระหว่างบริษัทไทยกับบริษัทข้ามชาติจะมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด 2 กรณีคือ 1. กรณีเป็นบริษัทข้ามชาติเมื่อเศรษฐกิจไม่ดี ก็ไม่ตัดงบประมาณประชาสัมพันธ์แต่ถ้าเศรษฐกิจดีก็ใช้งบปรกติไม่ได้พุ่งขึ้นมากมาย 2.กรณีบริษัทคนไทย เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีก็ตัดงบออกไปมาก แต่เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นก็หันกลับมาเพิ่มงบประมาณมากขึ้น
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ นายคริส กล่าวว่า บางกอกพีอาร์ ยังคงมุ่งแนวทางเดิมคือ การเน้นไปที่งานประชาสัมพันธ์ระดับมืออาชีพให้กับสินค้าและองค์กรต่างๆที่ต้องการและเน้นการทำงานแบบสัญญาระยะยาว ไม่เน้นการรับงานแบบเป็นจ๊อบบายจ๊อบเล็กๆ
ล่าสุดปีนี้บริษัทฯได้ลูกค้าข้ามชาติรายใหญ่รายใหม่ คือ บริษัท เนสท์เล่ จำกำด เข้ามาเป็นลูกค้าอีกราย ซึ่งถือว่ามีบิลลิ่งในการใช้งบมากทีเดียว โดยจะมีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบทางด้าน คอร์ปอรเรต แบรดนด์ และการทำซีเอสอาร์ ขณะที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจาต่อสัญญากับลูกค้ารายเดิมอีก 1 ราย โดยที่ปัจจุบันบริษัทบางกอกพีอาร์มีลูกค้าประมาณ 16 ราย เช่น พีแอนด์จี เนสท์เล่ โค้ก ฮอนด้า ไฟเซอร์ ผาแดง เป็นต้น ยอดบิลลิ่งอยู่ในระดับประมาณ100กว่าล้านบาท มีพนักงานประมาณ 16-18คนโดยเฉลี่ย
ส่วนนายดนัย วิเคราะห์ภาพรวมของตลาดว่า ปีนี้ธุรกิจประชาสัมพันธ์จะมีบทบาทอย่างมาก แต่ทั้งนี้รูปแบบจะมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ตามการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการใช้สื่อ และการเกิดขึ้นของนิวมีเดียที่จะเป็นตัวกระตุ้นทำให้สื่อใหม่ๆเติบโตอย่างรวดเร็วด้วย
ทั้งนี้การทำประชาสัมพันธ์ปี 2553 นื้ มั่นใจว่า ประเด็นหลักจะหนีไม่พ้น เรื่องการสื่อสารภายในองค์กรจะมีบทบาทที่ชัดเจน การทำซีเอสอาร์ โดยเน้นไปที่การทำไอเอสอาร์ก่อน เพราะบุคคลเป็นพื้นฐานที่สำคัญของการพัฒนาระดับองค์กร การปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของพนักงานในองค์กร การใช้กลยุทธ์น่านน้ำสีขาว การสร้างเพอร์ซันนอลแบรนด์
“สิ่งที่เราควรปลูกฝังมากที่สุดในขณะนี้คือ ความรับผิดชอบต่อสังคม เพราะวิกฤติต่างๆที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่การล่มสลายของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ในสหรัฐฯรวมถึงวิกฤติด้านการเมืองและสังคมในไทยที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนไทยล้วนมาจากสาเหตุเดียวกันคือ การขาดจิตสำนึกต่อสังคมทั้งในส่วนของปัจเจกบุคคลที่ไม่ได้รับการปลูกฝังไปจนถึงระดับผู้นำดังนั้นการประชาสัมพันธ์จึงกลายเป็นกลยุทธ์หลักที่จะนำมาใช้ในการกระตุ้นกลุ่มเป้าหมายให้เปลี่ยนทัศนคติให้หันมารู้จักเสียสละและช่วยกันสร้างสรรสิ่งที่ดีเพื่อส่วนรวมให้มากขึ้น”นายดนัยกล่าว
ปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มลูกค้าในส่วนที่เป็นบริษัทจดทะเบียนมากขึ้นด้วย ซึ่งขณะนี้บริษัทฯมีลูกค้าที่เป็นบริษัทจดทะเบียนเพียง 10% จากลูกค้าทั้งหมด เพราะเห็นแนวโน้มของตลาดกลุ่มนี้ ด้วยกฎเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯที่ต้องมีมาตรฐานไอเอสโอ26000 ที่ระบุไว้ว่าบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดจะต้องมีการทำซีเอสอาร์ที่ชัดเจนและเป็นระบบ
ขณะนี้ดีซี มีพนักงานกว่า 50 คน และมีลูกค้าประมาณ 20 รายกระจายทั้งภาครัฐและเอกชนไม่ว่าจะเป็นประกันชีวิต ธุรกิจดูแลสุขภาพท่องเที่ยวสินค้าคอนซูเมอร์ ยานยนต์ เทเลคอม อสังหาริมทรัพย์ สายการบิน เป็นต้น โดยแบ่งสัดส่วนออกเป็นลูกค้าในประเทศ 50% ลูกค้าข้ามชาติจำนวน 30% และอีก 20% เป็นภาคราชการ นายดนัยกล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีลูกค้ารายใหญ่ที่เจรจาให้ทางดีซีฯเข้าไปวางแผนธุรกิจให้ด้วย ซึ่งเป็นองค์กรที่มียอดรายได้มากกว่า 1-20,000 ล้านบาท