ASTVผู้จัดการรายวัน – หวั่นถูกต่อต้านแปรรูป "ขายชาติ" สคร.ยันต้องเป็นสมัครใจ เผยกำลังจับมือตลาดหลักทรัพย์ฯ เจรจาบริษัทลูก รสก.ทั้งเครือกรุงไทย ปตท.และ อสมท
นายกุลิศ สมบัติศิริ รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร.ได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) และคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่อเดินหน้าเจรจากับบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจที่มีความต้องการระดมทุนเพื่อขยายกิจการโดยการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งเพื่อเพิ่มสินค้าในตลาดให้นักลงทุนมีทางเลือกมากขึ้นและเพิ่มมูลค่าในตลาด โดยคาดว่าจะหาข้อสรุปได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้
โดยจากการตรวจสอบความพร้อมของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งในเบื้องต้นพบว่าทางองค์การเภสัชกรรม เป็นรัฐวิสาหกิจที่ให้ความสนใจจะนำบริษัทที่องค์การถือหุ้นในสัดส่วน 49% คือ บริษัทสมุนไพรไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอเป็นแห่งแรก เนื่องจากบริษัทดังกล่าวต้องการเงินทุนเพื่อสร้างโรงงานใหม่ ซึ่งจะย้ายอยู่ที่จ.ชลบุรี เนื่องจากมีความเหมาะสมทางด้านสถานที่และสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) โดยตั้งเป้าระดมทุนในวงเงินประมาณ 800-1,000 ล้านบาท
ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของบริษัทสมุนไพรไทยมีแนวโน้มค่อนข้างดี มีผลประกอบการดีมีกำไร เนื่องจากมีการผลิตสินค้าส่งขายทั้งในและต่างประเทศ ตามกระแสรักสุขภาพที่กำลังเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก อีกทั้งยังสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การเพิ่มมูลค่าให้สินค้าที่เป็นภูมิปัญญาไทยด้วยจึงมองว่าเป็นบริษัทที่น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยจะนัดหารือในรายละเอียดกับทางผู้บริหารของบริษัทสมุนไพรไทยต่อไปคาดสรุปได้ภายในเดือนนี้
“เท่าที่ดูข้อมูลเบื้องต้นมองว่ายังมีบริษัทลูกหรือบริษัทที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นแสดงความสนใจหรือมีความพร้อมเข้าตลาดไม่มากนัก โดยกรณีของบริษัทสมุนไพรไทยนั้นน่าจะมีความเป็นไปได้ที่สุดและน่าจะเป็นโครงการนำร่องที่สคร.ร่วมกับทางตลาดหลักทรัพย์ในการผลักดันให้มีบริษัทใหม่ๆ เข้าจดทะเบียนมากขึ้น โดยยืนยันว่าการนำบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดดังกล่าวไม่ใช่การแปรรูป ซึ่งจะมีผลดีกับทางรัฐวิสาหกิจเองที่ไม่ต้องใช้เงินองค์กรในการขยายการลงทุน ทำให้ประหยัดงบประมาณไปได้บางส่วน” นายกุลิศ กล่าว
นอกจากนี้คณะทำงานร่วม 3 หน่วยงานจะได้หารือกับบริษัทลูกในเครือธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)KTB ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ บริษัท กรุงไทย-แอ็กซ่า ประกันชีวิต จำกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด(มหาชน)KTAM บริษัท กรุงไทยพาณิชย์ประกันภัย จำกัด บริษัท กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด บริษัท กรุงไทย คอมพิวเตอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด
บริษัท เอชเอ็มซี โพลีเมอร์ ประเทศไทย จำกัด ในเครือ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) PTT บริษัท พาโนรามา เวิลด์ไวด์ ในเครือ บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) MCOT เป็นต้น ทั้งนี้ยืนยันว่าการเจรจาเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจมีช่องทางการระดมทุนที่ต้นทุนต่ำและมีความหลากหลายมากขึ้นและไม่ได้เป็นการแปรรูปแต่ทำด้วยความสมัครใจ.
นายกุลิศ สมบัติศิริ รองผู้อำนวยการ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า สคร.ได้ร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) และคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เพื่อเดินหน้าเจรจากับบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจที่มีความต้องการระดมทุนเพื่อขยายกิจการโดยการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกทั้งเพื่อเพิ่มสินค้าในตลาดให้นักลงทุนมีทางเลือกมากขึ้นและเพิ่มมูลค่าในตลาด โดยคาดว่าจะหาข้อสรุปได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้
โดยจากการตรวจสอบความพร้อมของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งในเบื้องต้นพบว่าทางองค์การเภสัชกรรม เป็นรัฐวิสาหกิจที่ให้ความสนใจจะนำบริษัทที่องค์การถือหุ้นในสัดส่วน 49% คือ บริษัทสมุนไพรไทยเข้าจดทะเบียนในตลาดเอ็มเอไอเป็นแห่งแรก เนื่องจากบริษัทดังกล่าวต้องการเงินทุนเพื่อสร้างโรงงานใหม่ ซึ่งจะย้ายอยู่ที่จ.ชลบุรี เนื่องจากมีความเหมาะสมทางด้านสถานที่และสิทธิประโยชน์ต่างๆ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) โดยตั้งเป้าระดมทุนในวงเงินประมาณ 800-1,000 ล้านบาท
ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินธุรกิจของบริษัทสมุนไพรไทยมีแนวโน้มค่อนข้างดี มีผลประกอบการดีมีกำไร เนื่องจากมีการผลิตสินค้าส่งขายทั้งในและต่างประเทศ ตามกระแสรักสุขภาพที่กำลังเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก อีกทั้งยังสอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การเพิ่มมูลค่าให้สินค้าที่เป็นภูมิปัญญาไทยด้วยจึงมองว่าเป็นบริษัทที่น่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยจะนัดหารือในรายละเอียดกับทางผู้บริหารของบริษัทสมุนไพรไทยต่อไปคาดสรุปได้ภายในเดือนนี้
“เท่าที่ดูข้อมูลเบื้องต้นมองว่ายังมีบริษัทลูกหรือบริษัทที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นแสดงความสนใจหรือมีความพร้อมเข้าตลาดไม่มากนัก โดยกรณีของบริษัทสมุนไพรไทยนั้นน่าจะมีความเป็นไปได้ที่สุดและน่าจะเป็นโครงการนำร่องที่สคร.ร่วมกับทางตลาดหลักทรัพย์ในการผลักดันให้มีบริษัทใหม่ๆ เข้าจดทะเบียนมากขึ้น โดยยืนยันว่าการนำบริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจเข้าตลาดดังกล่าวไม่ใช่การแปรรูป ซึ่งจะมีผลดีกับทางรัฐวิสาหกิจเองที่ไม่ต้องใช้เงินองค์กรในการขยายการลงทุน ทำให้ประหยัดงบประมาณไปได้บางส่วน” นายกุลิศ กล่าว
นอกจากนี้คณะทำงานร่วม 3 หน่วยงานจะได้หารือกับบริษัทลูกในเครือธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน)KTB ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ได้แก่ บริษัท กรุงไทย-แอ็กซ่า ประกันชีวิต จำกัด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนกรุงไทย จำกัด(มหาชน)KTAM บริษัท กรุงไทยพาณิชย์ประกันภัย จำกัด บริษัท กรุงไทยธุรกิจบริการ จำกัด บริษัท กรุงไทย คอมพิวเตอร์ เซอร์วิสเซส จำกัด
บริษัท เอชเอ็มซี โพลีเมอร์ ประเทศไทย จำกัด ในเครือ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) PTT บริษัท พาโนรามา เวิลด์ไวด์ ในเครือ บริษัท อสมท จำกัด(มหาชน) MCOT เป็นต้น ทั้งนี้ยืนยันว่าการเจรจาเพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้บริษัทลูกของรัฐวิสาหกิจมีช่องทางการระดมทุนที่ต้นทุนต่ำและมีความหลากหลายมากขึ้นและไม่ได้เป็นการแปรรูปแต่ทำด้วยความสมัครใจ.