พรรคพวกหลายคนเพิ่งเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง บางคนก็เผาไปแล้ว บางคนก็เก็บศพไปแล้ว บางคนก็ยังอยู่ระหว่างการสวด และสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ก็ได้พบปะกับมิตรสหายบางคนที่กำลังเป็นโรคมะเร็ง และกำลังจะเข้าคอร์สฉีดคีโม
ที่ตายก็ตายไป แต่ที่ยังไม่ตายก็มีความทุกข์ร้อนกระวนกระวายใจ เพราะเป็นธรรมดาชีวิตทั้งหลายที่ต้องกลัวความตาย ก็ได้แต่บอกว่าถึงไม่เป็นมะเร็งก็ต้องตาย เป็นแล้วหายก็ยังต้องตาย การป่วยด้วยโรคมะเร็งไม่เป็นที่แปลกประหลาดอันใด เพราะความเจ็บป่วยนั้นเป็นวิสัยธรรมดาที่ต้องมีมาและบังเกิดแก่ทุกชีวิต
แล้วถือโอกาสถามว่า มัวแต่บ่นคร่ำครวญวิตกทุกข์ร้อนในอาการป่วยด้วยโรคมะเร็ง ไม่รำคาญตัวเองบ้างหรือ? และไม่คิดจะลองฟังเสียงร้องคร่ำครวญของมะเร็งบ้างหรืออย่างไร?
ถามเท่านี้แหละ พรรคพวกคนที่ป่วยเป็นมะเร็งถึงกับอึ้งกิมกี่ไปเลย! พอหายจากตะลึงหน่อยหนึ่งก็ถามกลับมาว่า พูดล้อเล่นไปได้ มะเร็งมันพูดเป็นเสียเมื่อไหร่ และมันจะร้องคร่ำครวญไปทำไมกัน
จึงได้แต่ถามต่อไปว่า ที่ว่ามะเร็งมันพูดไม่ได้นั้น เคยพูดกับมันบ้างหรือยัง เพราะแท้จริงแล้วมะเร็งก็มีชีวิตเหมือนกัน เนื่องจากมะเร็งเป็นเซลล์ซึ่งอยู่ในร่างกายนี้ และอาจจะอยู่มาตั้งแต่เกิด อยู่ร่วมกันมาด้วยความสุขสวัสดีช้านานแล้ว เหตุไฉนจึงไม่ทำความรู้จักกันบ้าง
พรรคพวกก็ย้อนถามอีกว่า ท่าจะบ้าไปแล้วหรืออย่างไร เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินใครพูดหรือได้ยินทางวิชาการใดๆ ยอมรับว่ามะเร็งมีชีวิต หรือว่าพูดได้
จึงบอกว่า เพราะคิดอย่างนี้ เพราะเชื่ออย่างนี้ จึงต้องเข้ารับวิธีการรักษาโรคมะเร็งอย่างที่กำลังรักษากันนี้ และขอบอกไว้ล่วงหน้าได้เลยว่าจากเวลาบัดนี้ไปไม่เกิน 2-3 ปี ก็เป็นอันได้ตายเพราะโรคมะเร็งเป็นแน่นอน
พอได้ฟังคำว่าจะต้องตายใน 2-3 ปี พรรคพวกก็หน้าเศร้าซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด จึงต้องปลอบใจว่า 2-3 ปีนั้นอาจจะเร็วช้าก็ได้ บางทีอาจจะอยู่ได้ถึง 5 ปี แต่ถ้าทำไม่ดี ไม่ถึงปีอาจจะตายก็ได้
แทนที่จะได้ผลเป็นการปลอบใจ พรรคพวกได้ฟังแล้วกลับหน้าซีดเผือดไปเลย มีอาการหม่นหมองท้อแท้อย่างเห็นได้ชัด
จึงปลอบใจด้วยความจริงใจว่า เพื่อนเอย ชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาแล้ว ตายไปแล้วก็มีเป็นอันมาก ที่กำลังจะตายก็มีเป็นอันมาก ความตายไม่เป็นที่อัศจรรย์อันใดแก่เรา แม้ตัวเรานี้ก็จะต้องตาย ความตายนั้นเป็นความเที่ยงแท้แน่นอน แต่จะตายเมื่อใดนั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย
ดูเหมือนว่าพรรคพวกฟังแล้วก็ได้คิด และยังคงติดใจคำพูดเรื่องทำไมไม่ฟังเสียงมะเร็งดูบ้าง ว่ามีเสียงร้องหรือไม่ และร้องคร่ำครวญว่าอย่างไรบ้าง จึงถามมาว่าขอให้พูดจริงๆ เถิด อย่าพูดหลอกพูดลวงคนป่วยด้วยโรคมะเร็งเช่นนี้เลย จะเป็นบาป
ก็ได้แต่บอกว่าก็พูดกันจริงๆ นี่แหละ จะพูดหลอกพูดลวงพูดปลอบใจไปหาประโยชน์สิ่งไรกัน เขาก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นลองพูดให้ฟังสักหน่อย ถ้าเห็นดีเห็นงามก็จะลองทำตามดู
พร้อมกับขู่ว่าถ้าหากพูดเรื่อยเปื่อยเลอะเทอะก็จะขอด่าแม่แค่คำเดียวในฐานะที่เป็นเพื่อนฝูงกันมาแต่เก่าก่อน
จึงบอกว่าถ้าเช่นนั้นจงฟัง สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นความธรรมดา เป็นธรรมชาติ ที่เป็นอยู่และดำเนินไปมาอยู่ช้านานแล้ว ไม่ใช่สิ่งลี้ลับ ไม่มีความอัศจรรย์อันใด เป็นแต่ว่าใจคนหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องอื่น ไม่ใส่ใจกับโลกของตนเอง คือร่างกายอันยาววาหนาคืบนี้ และธรรมชาติธรรมดาที่เป็นไปในกายนี้
ว่าแล้วก็แสดงพระธรรมที่พระตถาคตเจ้าเคยแสดงไว้ดีแล้ว ว่าชีวิตประกอบด้วยจิตและกาย ซึ่งส่วนกายที่มีความยาววาหนาคืบนั้น ดำรงอยู่และดำเนินไปได้ด้วยอาหาร น้ำ อากาศ และอารมณ์
ชีวิตเมื่อกำเนิดแล้วก็ตั้งอยู่ มีความเสื่อมไป และมีความดับไปในที่สุด ตามเหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นไป และเหตุปัจจัยนั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่น ก็คืออาหาร น้ำ อากาศ และอารมณ์นั่นเอง โดยมีความเจ็บเป็นตัวแสดงอาการให้ปรากฏ เสมือนหนึ่งเป็นสัญญาณหมายว่าอุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราชกำลังมาคร่าเอาชีวิตนี้ให้ดับไป
ดังนั้นเมื่อเกิดมาแล้วที่จะไม่เจ็บไม่ตายนั้นไม่มีเลย ความแก่ ความเจ็บและความตายเป็นธรรมชาติ ธรรมดาของทุกชีวิต ถ้าคิดและเข้าใจเห็นความจริงกระจ่างแก่ใจแล้วเมื่อใด เมื่อนั้นก็ไม่หวั่นไหว ไม่สะทกสะท้านและไม่เกรงกลัวต่อความตาย พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตายได้ทุกเมื่อด้วยความพร้อมและความไม่ประมาท
แล้วถามพรรคพวกว่า ที่แสดงมานั้นเคยได้ยินได้ฟังมาหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าได้ยินได้ฟังมาหลายครั้ง และก็เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อความป่วยเยื้องกรายมาถึงตัวเข้าจริงๆ ก็อดจะทำใจไม่ได้ เพราะยังห่วงหาอาทรด้วยครอบครัว ลูกเมีย และกิจการอยู่
จึงเตือนสติว่า แม้ห่วงอย่างนั้น ความห่วงใยจะช่วยอะไรได้บ้าง มิได้เลย มีแต่จะซ้ำเติมความทุกข์ตรมขมขื่นหมองไหม้ในใจตน จะทำให้สุขภาพยิ่งเสื่อมทรุดถดถอยลงไปอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้าม หากตั้งใจให้อยู่ในความกล้าหาญองอาจก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ และเกิดพลังทั้งกายใจในการที่จะรับมือกับความเจ็บป่วยนั้น
ก็ได้รับคำชมว่าเออพูดเข้าท่า ไม่เหมือนกับไอ้บ้าที่เที่ยวเดินร้องเพลงอยู่ เมื่อครั้งเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้นเลย จึงกล่าวต่อไปว่าโรคมะเร็งนั้นความจริงไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรนักหนา เป็นโรคที่มีมาช้านานแล้ว ก่อนสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 มะเร็งไม่เป็นที่หวาดกลัวของผู้คน เพราะยุคนั้นผู้คนหวาดกลัวโรคอหิวาต์หรือวัณโรค หรือโรคบิดมากกว่า
เพิ่งมากลัวกันสุดหัวจิตหัวใจก็ในราว 30 กว่าปีมานี้เองเพราะถูกสร้างความเชื่อผิดๆ ว่าเป็นมะเร็งแล้วจะต้องตาย และก็ได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยแบบแผนการรักษาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่าตายจริงๆ
แต่ถ้าถามว่าวิธีรักษาโรคมะเร็งมีเท่าที่ใช้กันอยู่ตามแบบแผนในปัจจุบันนั้นหรือ ก็ต้องบอกว่าหามิได้ มีแบบแผนวิธีรักษามากมาย และหายกันมามากต่อมาก แม้กระทั่งในวันนี้คนป่วยมะเร็งจำนวนมากก็หายป่วยด้วยวิธีการรักษาแบบอื่นๆ
จึงให้กำลังใจพรรคพวกว่า มะเร็งนั้นอยู่ร่วมกันมากับชีวิตนี้ช้านานแล้ว ด้วยความรักสมัครสมาน ด้วยความผูกพันเป็นอันดี ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน นึกดูให้ดีอาจจะรักใคร่กันดียิ่งกว่าผัวเมียเสียอีก
เพราะมะเร็งไม่เคยอิจฉาริษยาหรือหึงหวง ไม่เคยควบคุมเวลากลับบ้าน ไม่เคยควบคุมเงินทอง และไม่เคยบังคับให้อาบน้ำ หรือเลิกสูบบุหรี่ หรือเลิกกินเหล้า ทั้งยังคอยเตือนสำนึกให้ระมัดระวังสุขภาพเสียอีก ดูไปแล้วก็มีพระคุณกันมานานนักหนา
แล้วว่า ที่เกิดเป็นโรคมะเร็งก็เพราะไม่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทรยศหักหลังพรรคพวกแล้วไม่เอาใจใส่ในความเป็นอยู่ของมะเร็งที่อยู่ร่วมกันมาอย่างสงบสุขสันตินั้นเลย
อยู่ๆ ก็เอาอาหารเป็นพิษไปยัดใส่ตัวของมะเร็ง เอาน้ำที่เป็นพิษไปใส่ตัวหรือไปอาบทาให้เขา เอาอารมณ์ที่ขุ่นมัวขึ้งเครียดหรือเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทไปอบไปรุมหรือไม่ก็ไปอยู่ในที่อากาศไม่บริสุทธิ์ บางทีก็เอาควันบุหรี่หรือควันซิการ์หรือควันกัญชา กระทั่งควันรถ ซึ่งมะเร็งไม่ชอบ ไปอบไปรุม
มะเร็งเขาเป็นทุกข์ทรมานด้วยสิ่งที่เป็นพิษเหล่านี้ แต่เพราะรักใคร่ชอบพอมีไมตรีกันมาช้านานเขาก็เกรงใจ ไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดช ได้แต่สะกิดเตือนบ้างเป็นครั้งเป็นคราวให้รู้สึกว่าไม่ปกติ ซึ่งต้องถือว่าเป็นการเตือนอย่างกัลยาณมิตร
เช่น เตือนในรูปแบบของความอ่อนเพลีย ความซีดเซียว ความเจ็บ ความปวดบางที่บางจุดบางแห่ง เพื่อให้หันกลับมาเป็นไมตรีกันดังเดิม อย่าทำร้ายต่อกันเลย แต่เพราะดึงดันไม่ฟังคำ ไม่สนใจคำเตือน ยังเดินหน้าทำร้ายกันต่อไป เขาก็ต้องแสดงฤทธิ์แสดงเดชเตือนด้วยความรุนแรงเพิ่มขึ้น
จนกระทั่งแสดงออกให้รู้ว่ากูจะสู้กับมึงแล้ว คือออกอาการมะเร็ง ไม่ว่าจะตรวจพบหรือไม่พบก็ตาม พอรู้ว่าเป็นมะเร็ง แทนที่จะกลับมาง้องอน ประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นไมตรีกันดังแต่ก่อน กลับคิดร้ายหนักเข้าไปอีก
ไปฉีดคีโม ไปฝังแร่ ไปผ่าตัด เพื่อจะให้ตายกันไปข้างหนึ่ง แต่เพราะเหตุที่มะเร็งนั้นอยู่ภายใน มีความคุ้นเคยกับภูมิประเทศในร่างกายเป็นอย่างดี จึงรู้จักทางหนีทีไล่ ซึมไปโน่น ซ่านไปนี่ จนกระทั่งไล่ตีไล่ปราบกันไม่ไหวแล้วต้องตายไปในที่สุด
ดังนั้นจะต้องสันทัดฟังเสียงพร่ำบ่นวิงวอนร้องขอของมะเร็งกันบ้าง แล้วกลับเนื้อกลับตัวปฏิบัติตนให้เป็นทางไมตรีกันดังแต่ก่อน อย่าทำสิ่งที่มะเร็งไม่ชอบ คืออย่าเอาสิ่งมีพิษในรูปของอาหาร น้ำ หรืออากาศ หรืออารมณ์ที่หงุดหงิดฉุนเฉียวตึงเครียดพยาบาทไปเกี่ยวข้องกับเขา
เขาก็มีชีวิตจิตใจ เมื่อใดที่เขาเห็นว่าได้ฟื้นความเป็นไมตรีดังแต่ก่อนแล้ว เพียงแค่ 45 วัน เขาก็จะให้อภัยแล้วสิ่งที่ออกฤทธิ์ออกเดชก็จะสร่างสิ้นไป กลับสู่ความเป็นปกติและมีไมตรีกันมาดังแต่ก่อน
เพราะมะเร็งนั้นก็ใจอ่อนเหมือนสตรี ไม่อาจทนต่อไมตรีที่ทอดให้ได้ จะขึ้งจะงอนจะโกรธจะเกลียดประการใด ใช้เวลาไม่เกิน 45 วัน ก็จะสร่างหายคลายเป็นปกติ เว้นแต่ตั้งหน้าทำศึกสงครามกันก็จะต้องตายกันไปทั้งสองข้าง
มะเร็งก็ร้องขออยู่เหมือนกันว่าหยุดเถิด มาเป็นไมตรีกันดีกว่า เพราะถ้าแกตายแล้วฉันก็ต้องตายตามแกไปด้วย นี่คือเสียงร้องขอจากมะเร็งถึงเหล่ามวลมนุษย์.
ที่ตายก็ตายไป แต่ที่ยังไม่ตายก็มีความทุกข์ร้อนกระวนกระวายใจ เพราะเป็นธรรมดาชีวิตทั้งหลายที่ต้องกลัวความตาย ก็ได้แต่บอกว่าถึงไม่เป็นมะเร็งก็ต้องตาย เป็นแล้วหายก็ยังต้องตาย การป่วยด้วยโรคมะเร็งไม่เป็นที่แปลกประหลาดอันใด เพราะความเจ็บป่วยนั้นเป็นวิสัยธรรมดาที่ต้องมีมาและบังเกิดแก่ทุกชีวิต
แล้วถือโอกาสถามว่า มัวแต่บ่นคร่ำครวญวิตกทุกข์ร้อนในอาการป่วยด้วยโรคมะเร็ง ไม่รำคาญตัวเองบ้างหรือ? และไม่คิดจะลองฟังเสียงร้องคร่ำครวญของมะเร็งบ้างหรืออย่างไร?
ถามเท่านี้แหละ พรรคพวกคนที่ป่วยเป็นมะเร็งถึงกับอึ้งกิมกี่ไปเลย! พอหายจากตะลึงหน่อยหนึ่งก็ถามกลับมาว่า พูดล้อเล่นไปได้ มะเร็งมันพูดเป็นเสียเมื่อไหร่ และมันจะร้องคร่ำครวญไปทำไมกัน
จึงได้แต่ถามต่อไปว่า ที่ว่ามะเร็งมันพูดไม่ได้นั้น เคยพูดกับมันบ้างหรือยัง เพราะแท้จริงแล้วมะเร็งก็มีชีวิตเหมือนกัน เนื่องจากมะเร็งเป็นเซลล์ซึ่งอยู่ในร่างกายนี้ และอาจจะอยู่มาตั้งแต่เกิด อยู่ร่วมกันมาด้วยความสุขสวัสดีช้านานแล้ว เหตุไฉนจึงไม่ทำความรู้จักกันบ้าง
พรรคพวกก็ย้อนถามอีกว่า ท่าจะบ้าไปแล้วหรืออย่างไร เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้ยินใครพูดหรือได้ยินทางวิชาการใดๆ ยอมรับว่ามะเร็งมีชีวิต หรือว่าพูดได้
จึงบอกว่า เพราะคิดอย่างนี้ เพราะเชื่ออย่างนี้ จึงต้องเข้ารับวิธีการรักษาโรคมะเร็งอย่างที่กำลังรักษากันนี้ และขอบอกไว้ล่วงหน้าได้เลยว่าจากเวลาบัดนี้ไปไม่เกิน 2-3 ปี ก็เป็นอันได้ตายเพราะโรคมะเร็งเป็นแน่นอน
พอได้ฟังคำว่าจะต้องตายใน 2-3 ปี พรรคพวกก็หน้าเศร้าซึมลงไปอย่างเห็นได้ชัด จึงต้องปลอบใจว่า 2-3 ปีนั้นอาจจะเร็วช้าก็ได้ บางทีอาจจะอยู่ได้ถึง 5 ปี แต่ถ้าทำไม่ดี ไม่ถึงปีอาจจะตายก็ได้
แทนที่จะได้ผลเป็นการปลอบใจ พรรคพวกได้ฟังแล้วกลับหน้าซีดเผือดไปเลย มีอาการหม่นหมองท้อแท้อย่างเห็นได้ชัด
จึงปลอบใจด้วยความจริงใจว่า เพื่อนเอย ชีวิตทั้งหลายที่เกิดมาแล้ว ตายไปแล้วก็มีเป็นอันมาก ที่กำลังจะตายก็มีเป็นอันมาก ความตายไม่เป็นที่อัศจรรย์อันใดแก่เรา แม้ตัวเรานี้ก็จะต้องตาย ความตายนั้นเป็นความเที่ยงแท้แน่นอน แต่จะตายเมื่อใดนั้นไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย
ดูเหมือนว่าพรรคพวกฟังแล้วก็ได้คิด และยังคงติดใจคำพูดเรื่องทำไมไม่ฟังเสียงมะเร็งดูบ้าง ว่ามีเสียงร้องหรือไม่ และร้องคร่ำครวญว่าอย่างไรบ้าง จึงถามมาว่าขอให้พูดจริงๆ เถิด อย่าพูดหลอกพูดลวงคนป่วยด้วยโรคมะเร็งเช่นนี้เลย จะเป็นบาป
ก็ได้แต่บอกว่าก็พูดกันจริงๆ นี่แหละ จะพูดหลอกพูดลวงพูดปลอบใจไปหาประโยชน์สิ่งไรกัน เขาก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นลองพูดให้ฟังสักหน่อย ถ้าเห็นดีเห็นงามก็จะลองทำตามดู
พร้อมกับขู่ว่าถ้าหากพูดเรื่อยเปื่อยเลอะเทอะก็จะขอด่าแม่แค่คำเดียวในฐานะที่เป็นเพื่อนฝูงกันมาแต่เก่าก่อน
จึงบอกว่าถ้าเช่นนั้นจงฟัง สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นความธรรมดา เป็นธรรมชาติ ที่เป็นอยู่และดำเนินไปมาอยู่ช้านานแล้ว ไม่ใช่สิ่งลี้ลับ ไม่มีความอัศจรรย์อันใด เป็นแต่ว่าใจคนหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องอื่น ไม่ใส่ใจกับโลกของตนเอง คือร่างกายอันยาววาหนาคืบนี้ และธรรมชาติธรรมดาที่เป็นไปในกายนี้
ว่าแล้วก็แสดงพระธรรมที่พระตถาคตเจ้าเคยแสดงไว้ดีแล้ว ว่าชีวิตประกอบด้วยจิตและกาย ซึ่งส่วนกายที่มีความยาววาหนาคืบนั้น ดำรงอยู่และดำเนินไปได้ด้วยอาหาร น้ำ อากาศ และอารมณ์
ชีวิตเมื่อกำเนิดแล้วก็ตั้งอยู่ มีความเสื่อมไป และมีความดับไปในที่สุด ตามเหตุปัจจัยที่ทำให้เป็นไป และเหตุปัจจัยนั้นก็ไม่ใช่อะไรอื่น ก็คืออาหาร น้ำ อากาศ และอารมณ์นั่นเอง โดยมีความเจ็บเป็นตัวแสดงอาการให้ปรากฏ เสมือนหนึ่งเป็นสัญญาณหมายว่าอุ้งหัตถ์แห่งมัจจุราชกำลังมาคร่าเอาชีวิตนี้ให้ดับไป
ดังนั้นเมื่อเกิดมาแล้วที่จะไม่เจ็บไม่ตายนั้นไม่มีเลย ความแก่ ความเจ็บและความตายเป็นธรรมชาติ ธรรมดาของทุกชีวิต ถ้าคิดและเข้าใจเห็นความจริงกระจ่างแก่ใจแล้วเมื่อใด เมื่อนั้นก็ไม่หวั่นไหว ไม่สะทกสะท้านและไม่เกรงกลัวต่อความตาย พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตายได้ทุกเมื่อด้วยความพร้อมและความไม่ประมาท
แล้วถามพรรคพวกว่า ที่แสดงมานั้นเคยได้ยินได้ฟังมาหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่าได้ยินได้ฟังมาหลายครั้ง และก็เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อความป่วยเยื้องกรายมาถึงตัวเข้าจริงๆ ก็อดจะทำใจไม่ได้ เพราะยังห่วงหาอาทรด้วยครอบครัว ลูกเมีย และกิจการอยู่
จึงเตือนสติว่า แม้ห่วงอย่างนั้น ความห่วงใยจะช่วยอะไรได้บ้าง มิได้เลย มีแต่จะซ้ำเติมความทุกข์ตรมขมขื่นหมองไหม้ในใจตน จะทำให้สุขภาพยิ่งเสื่อมทรุดถดถอยลงไปอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้าม หากตั้งใจให้อยู่ในความกล้าหาญองอาจก็จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ และเกิดพลังทั้งกายใจในการที่จะรับมือกับความเจ็บป่วยนั้น
ก็ได้รับคำชมว่าเออพูดเข้าท่า ไม่เหมือนกับไอ้บ้าที่เที่ยวเดินร้องเพลงอยู่ เมื่อครั้งเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยนั้นเลย จึงกล่าวต่อไปว่าโรคมะเร็งนั้นความจริงไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงอะไรนักหนา เป็นโรคที่มีมาช้านานแล้ว ก่อนสมัยพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 มะเร็งไม่เป็นที่หวาดกลัวของผู้คน เพราะยุคนั้นผู้คนหวาดกลัวโรคอหิวาต์หรือวัณโรค หรือโรคบิดมากกว่า
เพิ่งมากลัวกันสุดหัวจิตหัวใจก็ในราว 30 กว่าปีมานี้เองเพราะถูกสร้างความเชื่อผิดๆ ว่าเป็นมะเร็งแล้วจะต้องตาย และก็ได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยแบบแผนการรักษาที่เป็นอยู่ในปัจจุบันว่าตายจริงๆ
แต่ถ้าถามว่าวิธีรักษาโรคมะเร็งมีเท่าที่ใช้กันอยู่ตามแบบแผนในปัจจุบันนั้นหรือ ก็ต้องบอกว่าหามิได้ มีแบบแผนวิธีรักษามากมาย และหายกันมามากต่อมาก แม้กระทั่งในวันนี้คนป่วยมะเร็งจำนวนมากก็หายป่วยด้วยวิธีการรักษาแบบอื่นๆ
จึงให้กำลังใจพรรคพวกว่า มะเร็งนั้นอยู่ร่วมกันมากับชีวิตนี้ช้านานแล้ว ด้วยความรักสมัครสมาน ด้วยความผูกพันเป็นอันดี ไม่ได้ทะเลาะเบาะแว้งกัน นึกดูให้ดีอาจจะรักใคร่กันดียิ่งกว่าผัวเมียเสียอีก
เพราะมะเร็งไม่เคยอิจฉาริษยาหรือหึงหวง ไม่เคยควบคุมเวลากลับบ้าน ไม่เคยควบคุมเงินทอง และไม่เคยบังคับให้อาบน้ำ หรือเลิกสูบบุหรี่ หรือเลิกกินเหล้า ทั้งยังคอยเตือนสำนึกให้ระมัดระวังสุขภาพเสียอีก ดูไปแล้วก็มีพระคุณกันมานานนักหนา
แล้วว่า ที่เกิดเป็นโรคมะเร็งก็เพราะไม่อยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทรยศหักหลังพรรคพวกแล้วไม่เอาใจใส่ในความเป็นอยู่ของมะเร็งที่อยู่ร่วมกันมาอย่างสงบสุขสันตินั้นเลย
อยู่ๆ ก็เอาอาหารเป็นพิษไปยัดใส่ตัวของมะเร็ง เอาน้ำที่เป็นพิษไปใส่ตัวหรือไปอาบทาให้เขา เอาอารมณ์ที่ขุ่นมัวขึ้งเครียดหรือเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาทไปอบไปรุมหรือไม่ก็ไปอยู่ในที่อากาศไม่บริสุทธิ์ บางทีก็เอาควันบุหรี่หรือควันซิการ์หรือควันกัญชา กระทั่งควันรถ ซึ่งมะเร็งไม่ชอบ ไปอบไปรุม
มะเร็งเขาเป็นทุกข์ทรมานด้วยสิ่งที่เป็นพิษเหล่านี้ แต่เพราะรักใคร่ชอบพอมีไมตรีกันมาช้านานเขาก็เกรงใจ ไม่กล้าออกฤทธิ์ออกเดช ได้แต่สะกิดเตือนบ้างเป็นครั้งเป็นคราวให้รู้สึกว่าไม่ปกติ ซึ่งต้องถือว่าเป็นการเตือนอย่างกัลยาณมิตร
เช่น เตือนในรูปแบบของความอ่อนเพลีย ความซีดเซียว ความเจ็บ ความปวดบางที่บางจุดบางแห่ง เพื่อให้หันกลับมาเป็นไมตรีกันดังเดิม อย่าทำร้ายต่อกันเลย แต่เพราะดึงดันไม่ฟังคำ ไม่สนใจคำเตือน ยังเดินหน้าทำร้ายกันต่อไป เขาก็ต้องแสดงฤทธิ์แสดงเดชเตือนด้วยความรุนแรงเพิ่มขึ้น
จนกระทั่งแสดงออกให้รู้ว่ากูจะสู้กับมึงแล้ว คือออกอาการมะเร็ง ไม่ว่าจะตรวจพบหรือไม่พบก็ตาม พอรู้ว่าเป็นมะเร็ง แทนที่จะกลับมาง้องอน ประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นไมตรีกันดังแต่ก่อน กลับคิดร้ายหนักเข้าไปอีก
ไปฉีดคีโม ไปฝังแร่ ไปผ่าตัด เพื่อจะให้ตายกันไปข้างหนึ่ง แต่เพราะเหตุที่มะเร็งนั้นอยู่ภายใน มีความคุ้นเคยกับภูมิประเทศในร่างกายเป็นอย่างดี จึงรู้จักทางหนีทีไล่ ซึมไปโน่น ซ่านไปนี่ จนกระทั่งไล่ตีไล่ปราบกันไม่ไหวแล้วต้องตายไปในที่สุด
ดังนั้นจะต้องสันทัดฟังเสียงพร่ำบ่นวิงวอนร้องขอของมะเร็งกันบ้าง แล้วกลับเนื้อกลับตัวปฏิบัติตนให้เป็นทางไมตรีกันดังแต่ก่อน อย่าทำสิ่งที่มะเร็งไม่ชอบ คืออย่าเอาสิ่งมีพิษในรูปของอาหาร น้ำ หรืออากาศ หรืออารมณ์ที่หงุดหงิดฉุนเฉียวตึงเครียดพยาบาทไปเกี่ยวข้องกับเขา
เขาก็มีชีวิตจิตใจ เมื่อใดที่เขาเห็นว่าได้ฟื้นความเป็นไมตรีดังแต่ก่อนแล้ว เพียงแค่ 45 วัน เขาก็จะให้อภัยแล้วสิ่งที่ออกฤทธิ์ออกเดชก็จะสร่างสิ้นไป กลับสู่ความเป็นปกติและมีไมตรีกันมาดังแต่ก่อน
เพราะมะเร็งนั้นก็ใจอ่อนเหมือนสตรี ไม่อาจทนต่อไมตรีที่ทอดให้ได้ จะขึ้งจะงอนจะโกรธจะเกลียดประการใด ใช้เวลาไม่เกิน 45 วัน ก็จะสร่างหายคลายเป็นปกติ เว้นแต่ตั้งหน้าทำศึกสงครามกันก็จะต้องตายกันไปทั้งสองข้าง
มะเร็งก็ร้องขออยู่เหมือนกันว่าหยุดเถิด มาเป็นไมตรีกันดีกว่า เพราะถ้าแกตายแล้วฉันก็ต้องตายตามแกไปด้วย นี่คือเสียงร้องขอจากมะเร็งถึงเหล่ามวลมนุษย์.