น.ส.ศศิธารา พิชัยชาญณรงค์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะประธานคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการมีมติตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อมาทำงานศึกษาแนวทางการป้องกันไม่ให้เกิดกรณีบริษัทนำเที่ยวหลอกขายแพกเกจทัวร์ให้แก่ลูกค้าแล้วปิดบริษัทหนี หรือไม่ยอมให้บริการลูกค้าตามสัญญา โดยให้นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว(ทีทีเอเอ) และ โฆษกสหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย(เฟสต้า) เป็นประธานคณะอนุกรรมการดังกล่าว
ทั้งนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯและคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวฯ มีความประสงค์จะหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดการฉ้อโกงของบริษัทนำเที่ยวนอกรีดที่หลอกลวงลูกค้าให้ซื้อแพกเกจทัวร์อีกต่อไป ซึ่งการเลือกนายเจริญเป็นประธานคณะอนุกรรมการก็เพราะอยู่ในวงการท่องเที่ยวมานานน่าจะเข้าใจปัญหานี้เป็นอย่างดี โดยให้ทำการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน
เพราะจากกรณีการฟ้องร้องของผู้ซื้อแพกเกจทัวร์จากกานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ว่าบริษัทนำเที่ยวที่มาออกบูธภายในงานได้ปิดบริษัทหนีไปแล้วนั้น กระทบต่อภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงเป็นเรื่องด่วนที่ต้องเร่งจัดการ ส่วนแนวทางเรื่องการแก้ไขระเบียบวิธีการเปิด-ปิดบริษัททัวร์ การขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจทัวร์นั้น เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาระยะยาว
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบบริษัท เซาเธิร์น พลัส เทรเวล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัททัวร์ที่โกงเงินนักท่องเที่ยว พบว่า เป็นการจดทะเบียนใบอนุญาตประกอบธุรกิจทัวร์ในนามบุคคลธรรมดา จ่ายเงินประกันเพียง 10,000 บาท โดยผู้จดเคยขอยกเลิกการจดทะเบียนไปและรับเงินประกันคืนไป จากนั้นก็กลับมาจดทะเบียนอีกครั้ง จ่ายหลักประกันใหม่ และขอยกเลิกการจดทะเบียน รับเงินคืนไปรอบสอง ซึ่งหมายความว่า สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว(สพท.) ไม่สามารถยึดเงินประกัน นำมาจ่ายชดเชยความเสียหายให้กับผู้เสียหายกว่า 20 ราย เพราะเงินประกันถูกขอคืนไปแล้ว
ซึ่งเรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาสำคัญที่ คณะอนุกรรมการ จะต้องพิจารณาว่า ต่อไป การยกเลิกกิจการ ขอเงินประกันคืน ควรต้องดูผู้ขอเพิ่มเติมด้วย เช่น ดูฐานะการเงิน
นอกจากนั้นบริษัทนำเที่ยวดังกล่าว จดทะเบียนใบอนุญาตเฉพาะพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีขอบเขตทำทัวร์ได้เฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดใกล้เคียงเท่านั้น แต่กลับขายทัวร์ไปจังหวัดกระบี่ ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ติดกัน ซึ่งถือว่าทำผิด ดังนั้นคงต้องศึกษาแนวทางว่า ต่อไป ททท. ควรปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกบริษัททัวร์ที่มาร่วมงานส่งเสริมการขายอย่งไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้อีก
ทั้งนี้กระทรวงการท่องเที่ยวฯและคณะกรรมการธุรกิจนำเที่ยวฯ มีความประสงค์จะหาวิธีป้องกันไม่ให้เกิดการฉ้อโกงของบริษัทนำเที่ยวนอกรีดที่หลอกลวงลูกค้าให้ซื้อแพกเกจทัวร์อีกต่อไป ซึ่งการเลือกนายเจริญเป็นประธานคณะอนุกรรมการก็เพราะอยู่ในวงการท่องเที่ยวมานานน่าจะเข้าใจปัญหานี้เป็นอย่างดี โดยให้ทำการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน
เพราะจากกรณีการฟ้องร้องของผู้ซื้อแพกเกจทัวร์จากกานเทศกาลเที่ยวเมืองไทย ว่าบริษัทนำเที่ยวที่มาออกบูธภายในงานได้ปิดบริษัทหนีไปแล้วนั้น กระทบต่อภาพลักษณ์ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงเป็นเรื่องด่วนที่ต้องเร่งจัดการ ส่วนแนวทางเรื่องการแก้ไขระเบียบวิธีการเปิด-ปิดบริษัททัวร์ การขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจทัวร์นั้น เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาระยะยาว
อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบบริษัท เซาเธิร์น พลัส เทรเวล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัททัวร์ที่โกงเงินนักท่องเที่ยว พบว่า เป็นการจดทะเบียนใบอนุญาตประกอบธุรกิจทัวร์ในนามบุคคลธรรมดา จ่ายเงินประกันเพียง 10,000 บาท โดยผู้จดเคยขอยกเลิกการจดทะเบียนไปและรับเงินประกันคืนไป จากนั้นก็กลับมาจดทะเบียนอีกครั้ง จ่ายหลักประกันใหม่ และขอยกเลิกการจดทะเบียน รับเงินคืนไปรอบสอง ซึ่งหมายความว่า สำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว(สพท.) ไม่สามารถยึดเงินประกัน นำมาจ่ายชดเชยความเสียหายให้กับผู้เสียหายกว่า 20 ราย เพราะเงินประกันถูกขอคืนไปแล้ว
ซึ่งเรื่องนี้เป็นกรณีศึกษาสำคัญที่ คณะอนุกรรมการ จะต้องพิจารณาว่า ต่อไป การยกเลิกกิจการ ขอเงินประกันคืน ควรต้องดูผู้ขอเพิ่มเติมด้วย เช่น ดูฐานะการเงิน
นอกจากนั้นบริษัทนำเที่ยวดังกล่าว จดทะเบียนใบอนุญาตเฉพาะพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีขอบเขตทำทัวร์ได้เฉพาะจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดใกล้เคียงเท่านั้น แต่กลับขายทัวร์ไปจังหวัดกระบี่ ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ติดกัน ซึ่งถือว่าทำผิด ดังนั้นคงต้องศึกษาแนวทางว่า ต่อไป ททท. ควรปรับปรุงกระบวนการคัดเลือกบริษัททัวร์ที่มาร่วมงานส่งเสริมการขายอย่งไรบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้อีก
