ASTVผู้จัดการรายวัน-"โฆษกอัยการ" แจงคดีเขายายเที่ยงจบแล้ว ชี้ชัด"สุรยุทธ์"ไม่มีความผิด เหตุขาดเจตนารุกป่า ส่วนการคืนสิทธิ์ครอบครองที่ดินโยนกรมป่าไม้ดำเนินการ อัยการไม่มีอำนาจ ยันไม่ใช่สองมาตรฐาน
วานนี้ (8 ม.ค.) เวลา 13.30 น.ที่ห้องประชุม 100 ปี ชั้น 4 สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงชี้แจงกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กับพวก คดีบุกรุกเขายายเที่ยง ว่าคดีนี้อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเขต 3 มีคำสั่งไม่ฟ้องตามพนักงานสอบสวนไปเมื่อวันที่ 15 ต.ค.2552 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา มีความเห็นชอบกับอัยการไปเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2552
ดังนั้น คดีจึงเสร็จเด็ดขาด โดยเหตุที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากที่ดินบนเขายายเที่ยงแปลงที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ครอบครองนั้น จากการสอบสวนของพนักงานสอบสวนมีหลักฐานว่าที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 67 (พ.ศ.2508) ออกตามความใน พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ซึ่งกำหนดให้ป่าเขาเตียนและป่าเขาเขื่อนลั่น (เขายายเที่ยง) ในท้องที่ตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง และตำบลลาดบัวขาว จังหวัดนครราชสีมา เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ก่อนที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จะเข้าครอบครองปลูกเป็นที่พักอาศัย ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของนายเบ้า สินนอก และบุตรเขย ซึ่งนายเบ้า ได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว โดยไม่มีเอกสารสิทธิ์จำนวน 10 ไร่ โดยไม่ทราบว่าเป็นที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนฯ แล้วเข้าไปทำไร่มันสำปะหลัง ละหุ่ง และข้าวโพด นอกจากนั้นที่ดินในเขตป่าสงวนเขายายเที่ยงยังมีราษฎรเข้าไปอยู่อาศัยทำกินเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2518 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กรมป่าไม้ดำเนินการปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติเขายายเที่ยง เพื่อจัดสรรให้ราษฎรทำกินครอบครัวละไม่เกิน 15 ไร่ (ให้ทำกินครอบครัวละ 14 ไร่ 2 งาน และให้เป็นที่อยู่อาศัยอีก 2 งาน) โดยมีเงื่อนไขไม่ให้กรรมสิทธิ์ แต่ให้สิทธ์ครอบครองตกทอดถึงทายาทโดยธรรมได้เป็นการถาวร เพื่อป้องกันไม่ให้นายทุนมาครอบครองโดยวิธีกว้านซื้อ โดยกรมป่าไม้จะออกใบอนุญาตชั่วคราวให้ราษฎรเข้าอยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวโดยจัดตั้งในรูปหมู่บ้านป่าไม้ นายเบ้า และบุตรเขย จึงได้รับการจัดสรรที่ดินคนละ 15 ไร่ รวม 30 ไร่ และได้มีการเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ตลอดมา ตั้งแต่ปี 2520 – 2538
ต่อมานายเบ้า ได้ขายที่ดินของตนเองและบุตรเขย จำนวน 20 ไร่ ให้นายนพดล พิทักษ์วาณิชย์ เมื่อปี 2538 พร้อมมอบหลักฐานการแสดงภาษี ให้แก่นายนพดล ด้วย และนายนพดล ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ระหว่างปี 2538 – 2540 ต่อมา พ.อ.สุรฤทธ์ จันทราทิพย์ เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ในปี 2540 – 2545 และในวันที่ 6 ก.ค. 2543 พล.ต.สุรฤทธ์ เป็นผู้ไปยื่นขอออกเลขที่บ้าน เลขที่ 10 ตำบลคลองไผ่ (เดิมอยู่ในเขตตำบลลาดบัวขาว) อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของ พล.อ.สุรยุทธ์ ในปัจจุบัน และในวันที่ 4 ก.ค. 2546 พล.ต.สุรฤทธ์ เป็นผู้ขออนุญาตใช้ไฟฟ้าในบ้านหลังดังกล่าว
ในปี 2545 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน มีหลักฐานว่าผู้ยื่นเสียภาษีบำรุงท้องที่ ในที่ดินดังกล่าว คือ พ.อ.หญิง คุณหญิงจิตรวดี จุลานนท์ ภริยาของ พล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งที่ผ่านมากรมป่าไม้และเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เคยดำเนินคดีข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติกับผู้ใดเลย ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2550 นายคุ้มพงษ์ ภูมิภูเขียว กับพวกรวม 12 คน ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ พล.อ.สุรยุทธ์ กับพวก ในข้อหาบุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ เขายายเที่ยงดังกล่าว โดยพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีกับ พล.อ.สุรยุทธ์ (ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี) เป็นผู้ต้องหาที่ 1 นายธีระ สูตะบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ต้องหาที่ 3 และนายวิชัย แหลมวิไล อธิบดีกรมป่าไม้ เป็นผู้ต้องหาที่ 4
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 ในข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติและร่วมกันยึดถือครอบครอง ทำประโยชน์ในที่ดินฯ ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 โดยส่งสำนวนให้กับพนักงานอัยการจังหวัดสี้คิ้วพิจารณาตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2551 โดยพนักงานอัยการจังหวัดสี้คิ้วได้พิจารณาและสอบสวนเพิ่มเติมบางประเด็นและเสนอสำนวนให้อธิบดีอัยการเขต 3 มีคำสั่ง ซึ่งอธิบดีอัยการเขต 3 ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 เช่นเดียวกันกับพนักงานสอบสวนโดยเห็นว่า นายเบ้า และราษฎร มีสิทธิ์ครอบครองที่ดินโดยชอบตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว จึงเป็นการครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย การครอบครองต่อมาของ พล.อ.สุรยุทธ์ จึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิ์ของนายเป้า จึงขาดเจตนากระทำผิดตามข้อกล่าวหา ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาได้ให้ความเห็นชอบกับคำสั่งไม่ฟ้องของอธิบดีอัยการเขต 3 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552
กรณีการครอบครองที่ดินผิดเงื่อนไขตามมติคณะรัฐมนตรี อัยการจังหวัดสีคิ้ว ได้มีหนังสือ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2553 แจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) ดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขของแผนงานจัดที่ดินให้แก่ราษฎรในรูปหมู่บ้าน ป่าไม้และสหกรณ์การเกษตร ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
นายธนพิชญ์ กล่าวย้ำว่า หนังสือที่อัยการแจ้งให้ ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรนั้น เพียงแต่ ให้ดำเนินตามมติ ครม. ที่ให้นำที่ดินคืนแก่ผู้ครอบครอง หรือทายาทผู้ครอบครองที่ได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์เท่านั้น ส่วนกรมป่าไม้ จะดำเนินการเอาที่ดินคืนจาก พล.อ.สุรยุทธ์ หรือไม่อย่างไรเป็นหน้าที่ของกรมป่าไม้ที่จะพิจารณาดำเนินการอัยการไม่มีอำนาจหน้าที่ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ละเว้นไม่ดำเนินการให้การครอบครองที่ดินเป็นไปตามเงื่อนไข มติ ครม. ปี 2518 ก็น่าคิดว่าอาจจะเป็นความผิดละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้เช่นกัน ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่ากรมป่าไม้จะดำเนินการอย่างไร
วานนี้ (8 ม.ค.) เวลา 13.30 น.ที่ห้องประชุม 100 ปี ชั้น 4 สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก นายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงชี้แจงกรณีอัยการสั่งไม่ฟ้อง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี กับพวก คดีบุกรุกเขายายเที่ยง ว่าคดีนี้อธิบดีอัยการฝ่ายคดีเขต 3 มีคำสั่งไม่ฟ้องตามพนักงานสอบสวนไปเมื่อวันที่ 15 ต.ค.2552 ที่ผ่านมา ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา มีความเห็นชอบกับอัยการไปเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2552
ดังนั้น คดีจึงเสร็จเด็ดขาด โดยเหตุที่อัยการสั่งไม่ฟ้อง เนื่องจากที่ดินบนเขายายเที่ยงแปลงที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ครอบครองนั้น จากการสอบสวนของพนักงานสอบสวนมีหลักฐานว่าที่ดินแปลงดังกล่าวอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 67 (พ.ศ.2508) ออกตามความใน พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ซึ่งกำหนดให้ป่าเขาเตียนและป่าเขาเขื่อนลั่น (เขายายเที่ยง) ในท้องที่ตำบลจันทึก อำเภอปากช่อง และตำบลลาดบัวขาว จังหวัดนครราชสีมา เป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ก่อนที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จะเข้าครอบครองปลูกเป็นที่พักอาศัย ที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของนายเบ้า สินนอก และบุตรเขย ซึ่งนายเบ้า ได้ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว โดยไม่มีเอกสารสิทธิ์จำนวน 10 ไร่ โดยไม่ทราบว่าเป็นที่ดินอยู่ในเขตป่าสงวนฯ แล้วเข้าไปทำไร่มันสำปะหลัง ละหุ่ง และข้าวโพด นอกจากนั้นที่ดินในเขตป่าสงวนเขายายเที่ยงยังมีราษฎรเข้าไปอยู่อาศัยทำกินเป็นจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 29 เม.ย. 2518 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กรมป่าไม้ดำเนินการปรับปรุงป่าสงวนแห่งชาติเขายายเที่ยง เพื่อจัดสรรให้ราษฎรทำกินครอบครัวละไม่เกิน 15 ไร่ (ให้ทำกินครอบครัวละ 14 ไร่ 2 งาน และให้เป็นที่อยู่อาศัยอีก 2 งาน) โดยมีเงื่อนไขไม่ให้กรรมสิทธิ์ แต่ให้สิทธ์ครอบครองตกทอดถึงทายาทโดยธรรมได้เป็นการถาวร เพื่อป้องกันไม่ให้นายทุนมาครอบครองโดยวิธีกว้านซื้อ โดยกรมป่าไม้จะออกใบอนุญาตชั่วคราวให้ราษฎรเข้าอยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติดังกล่าวโดยจัดตั้งในรูปหมู่บ้านป่าไม้ นายเบ้า และบุตรเขย จึงได้รับการจัดสรรที่ดินคนละ 15 ไร่ รวม 30 ไร่ และได้มีการเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.บ.ท.5) ตลอดมา ตั้งแต่ปี 2520 – 2538
ต่อมานายเบ้า ได้ขายที่ดินของตนเองและบุตรเขย จำนวน 20 ไร่ ให้นายนพดล พิทักษ์วาณิชย์ เมื่อปี 2538 พร้อมมอบหลักฐานการแสดงภาษี ให้แก่นายนพดล ด้วย และนายนพดล ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่ระหว่างปี 2538 – 2540 ต่อมา พ.อ.สุรฤทธ์ จันทราทิพย์ เป็นผู้เสียภาษีบำรุงท้องที่ในปี 2540 – 2545 และในวันที่ 6 ก.ค. 2543 พล.ต.สุรฤทธ์ เป็นผู้ไปยื่นขอออกเลขที่บ้าน เลขที่ 10 ตำบลคลองไผ่ (เดิมอยู่ในเขตตำบลลาดบัวขาว) อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นบ้านพักอาศัยของ พล.อ.สุรยุทธ์ ในปัจจุบัน และในวันที่ 4 ก.ค. 2546 พล.ต.สุรฤทธ์ เป็นผู้ขออนุญาตใช้ไฟฟ้าในบ้านหลังดังกล่าว
ในปี 2545 เป็นต้นมาถึงปัจจุบัน มีหลักฐานว่าผู้ยื่นเสียภาษีบำรุงท้องที่ ในที่ดินดังกล่าว คือ พ.อ.หญิง คุณหญิงจิตรวดี จุลานนท์ ภริยาของ พล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งที่ผ่านมากรมป่าไม้และเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เคยดำเนินคดีข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติกับผู้ใดเลย ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2550 นายคุ้มพงษ์ ภูมิภูเขียว กับพวกรวม 12 คน ได้ร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ พล.อ.สุรยุทธ์ กับพวก ในข้อหาบุกรุกที่ดินป่าสงวนแห่งชาติ เขายายเที่ยงดังกล่าว โดยพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีกับ พล.อ.สุรยุทธ์ (ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี) เป็นผู้ต้องหาที่ 1 นายธีระ สูตะบุตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้ต้องหาที่ 2 ศ.ดร.ยงยุทธ ยุทธวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ต้องหาที่ 3 และนายวิชัย แหลมวิไล อธิบดีกรมป่าไม้ เป็นผู้ต้องหาที่ 4
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 ในข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติและร่วมกันยึดถือครอบครอง ทำประโยชน์ในที่ดินฯ ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 และ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2484 โดยส่งสำนวนให้กับพนักงานอัยการจังหวัดสี้คิ้วพิจารณาตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2551 โดยพนักงานอัยการจังหวัดสี้คิ้วได้พิจารณาและสอบสวนเพิ่มเติมบางประเด็นและเสนอสำนวนให้อธิบดีอัยการเขต 3 มีคำสั่ง ซึ่งอธิบดีอัยการเขต 3 ได้มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 4 เช่นเดียวกันกับพนักงานสอบสวนโดยเห็นว่า นายเบ้า และราษฎร มีสิทธิ์ครอบครองที่ดินโดยชอบตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว จึงเป็นการครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย การครอบครองต่อมาของ พล.อ.สุรยุทธ์ จึงเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิ์ของนายเป้า จึงขาดเจตนากระทำผิดตามข้อกล่าวหา ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาได้ให้ความเห็นชอบกับคำสั่งไม่ฟ้องของอธิบดีอัยการเขต 3 เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552
กรณีการครอบครองที่ดินผิดเงื่อนไขตามมติคณะรัฐมนตรี อัยการจังหวัดสีคิ้ว ได้มีหนังสือ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2553 แจ้งให้ผู้อำนวยการสำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 8 (นครราชสีมา) ดำเนินการให้เป็นไปตามเงื่อนไขของแผนงานจัดที่ดินให้แก่ราษฎรในรูปหมู่บ้าน ป่าไม้และสหกรณ์การเกษตร ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
นายธนพิชญ์ กล่าวย้ำว่า หนังสือที่อัยการแจ้งให้ ผอ.สำนักจัดการทรัพยากรนั้น เพียงแต่ ให้ดำเนินตามมติ ครม. ที่ให้นำที่ดินคืนแก่ผู้ครอบครอง หรือทายาทผู้ครอบครองที่ได้รับอนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์เท่านั้น ส่วนกรมป่าไม้ จะดำเนินการเอาที่ดินคืนจาก พล.อ.สุรยุทธ์ หรือไม่อย่างไรเป็นหน้าที่ของกรมป่าไม้ที่จะพิจารณาดำเนินการอัยการไม่มีอำนาจหน้าที่ แต่ถ้าเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ละเว้นไม่ดำเนินการให้การครอบครองที่ดินเป็นไปตามเงื่อนไข มติ ครม. ปี 2518 ก็น่าคิดว่าอาจจะเป็นความผิดละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้เช่นกัน ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่ากรมป่าไม้จะดำเนินการอย่างไร