ASTVผู้จัดการรายวัน – พฤกษายอมรับประเมินตลาดเยาวราชผิดคนไม่ชอบอยู่คอนโดฯส่งผล “ไอวี่ ไชน่าทาวน์” ขายไม่เข้าเป้ารอเจรจาลูกค้า 12 รายที่ซื้อไปแล้ว เล็งเปลี่ยนโปรดักส์ใหม่แง้มอาจผุดทาวน์โฮมแทน ส่วนแผนพัฒนาปี 53 ยืนยัน 48 โครงการ มูลค่าเกือบ4 หมื่นล้านบาท แต่ยังไม่สรุปประเภทสินค้าเหตุตลาดเปลี่ยนตลอดเวลา
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมว่า โครงการไอวี่ ไชน่าทาวน์ไม่ประสบความสำเร็จจึงได้หยุดการขาย ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของตลาดเพื่อปรับรูปแบบของสินค้าใหม่ เนื่องจากคนในย่านเยาวราชไม่นิยมอยู่คอนโดมิเนียม และยังยึดติดกับที่อยู่อาศัยแบบเดิมหรือตึดแถว จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะพัฒนาเป็นโครงการทาวน์โฮมหรือคอนโดมินียมรูปแบบใหม่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
“ยอมรับว่าประเมินตลาดผิดพลาด และยอมรับผิดแต่โครงการนี้เป็นเพียงโครงการเดียวของเราที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่ถึง 1% ของพอร์ต และขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าที่จองซื้ออีก 12 ราย เพื่อคืนเงินหรือหากลูกค้ายังยืนยันที่จะซื้อสินค้าในทำเลดังกล่าวอยู่ก็จะให้สิทธิ์ได้ซื้อก่อน”นายประเสริฐกล่าว
สำหรับโครงการไอวี่ ไชน่าทาวน์ ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ ถนนไมตรีจิตร วงเวียน 22 กรกฎาคม ตามแผนเดิม จะพัฒนาเป็นอาคารสูง 11 ชั้น จำนวน 69 ยูนิต ไม่รวมชั้นใต้ดิน 4 ชั้น ซึ่งเป็นที่จอดรถ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ราคา
ขายอยู่ที่ 1-1.4 แสนบาทต่อตร.ม. เฉลี่ยต่อยูนิตเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาท ราคาสูงสุดที่ 20 ล้านบาท
โดยรูปแบบของห้องแบ่งเป็น 1 ห้องนอน ขนาด 50-60 ตร.ม. จะได้ที่จอดรถ 1-2 คัน แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 81-102 ตร.ม. ได้ที่จอดรถ 2-3 คัน และแบบ 3 ห้องนอนขนาด 122-127 ตร.ม. ได้ที่จอดรถ 3-4 คัน จุดขายสำคัญคือที่จอดรถ ซึ่งจะเป็นการขายพร้อมโฉนด ซึ่งลูกค้าสามารถขายสิทธิที่จอดรถให้กับลูกบ้านในโครงการเดียวกันหรือปล่อยเช่าให้กับคนนอกได้ เนื่องจากพฤกษามองว่าในย่านดังกล่าวที่จอดรถหายากและเป็นที่ต้องการของผู้ที่อยู่อาศัยและทำการค้าในเยาวราช เพราะค่าที่จอดรถในย่านนั้นอยู่ที่ 2-3 หมื่นบาท/เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโครงการไอวี่ ไชน่าทาวน์ตั้งอยู่ไกลกับโรงแรมม่านรูดเก่าแก่ในย่านนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่คนไม่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาแพงใกล้แหล่งอบายมุข
นานยประเสริฐ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง และยังคงเน้นการทำตลาดในทุกเซกเมนต์และทุกทำเล โดยในปีนี้ตั้งเป็เปิดโครงการใหม่ 48 โครงการมูลค่าเกือบ 40,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารูปแบบและประเภทของสินค้าในแต่ละโครงการ เพื่อให้เข้ากับสภาพตลาดและไลท์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในย่านนั้นๆ นอกจานี้ปัจจุบันตลาดเป็นแปลงบ่อยมาก ทำให้บริษัทไม่กำหนดการลงทุนตายตัว แต่จะขึ้นอยู่กับสภาพของตลาดมากกว่า
“ตลาดในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงง่าย ดูจากปีที่แล้วต้นปีไม่ดี แต่พอปลายปีเปิดขายแถบไม่ทัน ดังนั้นพฤกษาจึงเตรียมตัวพร้อมอยู่ตลอดเวลาเพื่อรับมือและปรับพอร์ตตามโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการหลายรายปรับพอร์ตตาม ส่วนการทำการตลาดเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคจึงมีรูปแบบที่ไม่แตกต่างไปจากเดิม”นายประเสริฐกล่าว
อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดที่อยู่ประเภทซิตี้คอนโดมิเนียมจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องพิจารณาได้จากยอดขายของผู้ประกอบการในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งปัจจุบันสัดส่วนคอนโดมิเนียมและแนวราบอยู่ที่ 50 : 50 แล้วแต่ยอดจดทะเบียนจะช้ากว่ายอดขายประมาณ 1-2 ปีเพราะรอก่อสร้าง ซึ่งในปีที่ผ่านมายอดจดทะเบียนมีเพียง 30-40% ของที่อยู่อาศัยจดทะเบียนทั้งระบบ และแนวโน้มคอนโดมิเนียมจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนานหลายปี นอกจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองแล้วตลาดคอนโดมิเนียมยังมีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุน ทั้งขายต่อหรือปล่อยเช่าประมาณ 10-20% ทั้งที่เป็นคอนโดมิเนียมระดับไฮเอ็นและระดับกลาง-ล่าง
“ในสายตาของพฤกษามองว่าทุกทำเลเป็นทำเลทองหมด ไม่เจาะจงว่าทำเลไหน เพราะการลงทุนในอสังหาริมทรัพยืก็เหมือกับการนำเรือออกหาปลา ขนาดของเรือจะต้องสอดคล้องกับจำนวนปลาที่จะจับ ถ้าปลามากก็เอาเรือใหญ่ออกไปจับ ถ้าหลายน้อยก็ใช้เรือเล็ก แต่ยังมีผู้ประกอบการบางรายไม่สามารถเลือกเรือที่จะออกจับปลาได้ เพราะต้นทุนมันต่างกันถ้าเอาเรือเล็กออกได้ปลาน้อยก็ไม่มีกำไร มันขึ้นอยู่กับศักยภาพของการลงทุนและความพร้อมของทีมงาน การก่อสร้างและการบริหารจัดการด้วยจึงจะไม่ขาดทุนและพัฒนาโครงการได้ทุกประเภททุกขนาด”นายประเสริฐกล่าว
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวยอมว่า โครงการไอวี่ ไชน่าทาวน์ไม่ประสบความสำเร็จจึงได้หยุดการขาย ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้ของตลาดเพื่อปรับรูปแบบของสินค้าใหม่ เนื่องจากคนในย่านเยาวราชไม่นิยมอยู่คอนโดมิเนียม และยังยึดติดกับที่อยู่อาศัยแบบเดิมหรือตึดแถว จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะพัฒนาเป็นโครงการทาวน์โฮมหรือคอนโดมินียมรูปแบบใหม่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆนี้
“ยอมรับว่าประเมินตลาดผิดพลาด และยอมรับผิดแต่โครงการนี้เป็นเพียงโครงการเดียวของเราที่ไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งไม่ถึง 1% ของพอร์ต และขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจากับลูกค้าที่จองซื้ออีก 12 ราย เพื่อคืนเงินหรือหากลูกค้ายังยืนยันที่จะซื้อสินค้าในทำเลดังกล่าวอยู่ก็จะให้สิทธิ์ได้ซื้อก่อน”นายประเสริฐกล่าว
สำหรับโครงการไอวี่ ไชน่าทาวน์ ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 1 ไร่ ถนนไมตรีจิตร วงเวียน 22 กรกฎาคม ตามแผนเดิม จะพัฒนาเป็นอาคารสูง 11 ชั้น จำนวน 69 ยูนิต ไม่รวมชั้นใต้ดิน 4 ชั้น ซึ่งเป็นที่จอดรถ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ราคา
ขายอยู่ที่ 1-1.4 แสนบาทต่อตร.ม. เฉลี่ยต่อยูนิตเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาท ราคาสูงสุดที่ 20 ล้านบาท
โดยรูปแบบของห้องแบ่งเป็น 1 ห้องนอน ขนาด 50-60 ตร.ม. จะได้ที่จอดรถ 1-2 คัน แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 81-102 ตร.ม. ได้ที่จอดรถ 2-3 คัน และแบบ 3 ห้องนอนขนาด 122-127 ตร.ม. ได้ที่จอดรถ 3-4 คัน จุดขายสำคัญคือที่จอดรถ ซึ่งจะเป็นการขายพร้อมโฉนด ซึ่งลูกค้าสามารถขายสิทธิที่จอดรถให้กับลูกบ้านในโครงการเดียวกันหรือปล่อยเช่าให้กับคนนอกได้ เนื่องจากพฤกษามองว่าในย่านดังกล่าวที่จอดรถหายากและเป็นที่ต้องการของผู้ที่อยู่อาศัยและทำการค้าในเยาวราช เพราะค่าที่จอดรถในย่านนั้นอยู่ที่ 2-3 หมื่นบาท/เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าโครงการไอวี่ ไชน่าทาวน์ตั้งอยู่ไกลกับโรงแรมม่านรูดเก่าแก่ในย่านนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่คนไม่ต้องการที่อยู่อาศัยราคาแพงใกล้แหล่งอบายมุข
นานยประเสริฐ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง และยังคงเน้นการทำตลาดในทุกเซกเมนต์และทุกทำเล โดยในปีนี้ตั้งเป็เปิดโครงการใหม่ 48 โครงการมูลค่าเกือบ 40,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารูปแบบและประเภทของสินค้าในแต่ละโครงการ เพื่อให้เข้ากับสภาพตลาดและไลท์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในย่านนั้นๆ นอกจานี้ปัจจุบันตลาดเป็นแปลงบ่อยมาก ทำให้บริษัทไม่กำหนดการลงทุนตายตัว แต่จะขึ้นอยู่กับสภาพของตลาดมากกว่า
“ตลาดในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงง่าย ดูจากปีที่แล้วต้นปีไม่ดี แต่พอปลายปีเปิดขายแถบไม่ทัน ดังนั้นพฤกษาจึงเตรียมตัวพร้อมอยู่ตลอดเวลาเพื่อรับมือและปรับพอร์ตตามโครงสร้างที่เปลี่ยนแปลงไปของตลาด ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการหลายรายปรับพอร์ตตาม ส่วนการทำการตลาดเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคจึงมีรูปแบบที่ไม่แตกต่างไปจากเดิม”นายประเสริฐกล่าว
อย่างไรก็ตาม มองว่าตลาดที่อยู่ประเภทซิตี้คอนโดมิเนียมจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องพิจารณาได้จากยอดขายของผู้ประกอบการในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งปัจจุบันสัดส่วนคอนโดมิเนียมและแนวราบอยู่ที่ 50 : 50 แล้วแต่ยอดจดทะเบียนจะช้ากว่ายอดขายประมาณ 1-2 ปีเพราะรอก่อสร้าง ซึ่งในปีที่ผ่านมายอดจดทะเบียนมีเพียง 30-40% ของที่อยู่อาศัยจดทะเบียนทั้งระบบ และแนวโน้มคอนโดมิเนียมจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนานหลายปี นอกจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองแล้วตลาดคอนโดมิเนียมยังมีกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่อการลงทุน ทั้งขายต่อหรือปล่อยเช่าประมาณ 10-20% ทั้งที่เป็นคอนโดมิเนียมระดับไฮเอ็นและระดับกลาง-ล่าง
“ในสายตาของพฤกษามองว่าทุกทำเลเป็นทำเลทองหมด ไม่เจาะจงว่าทำเลไหน เพราะการลงทุนในอสังหาริมทรัพยืก็เหมือกับการนำเรือออกหาปลา ขนาดของเรือจะต้องสอดคล้องกับจำนวนปลาที่จะจับ ถ้าปลามากก็เอาเรือใหญ่ออกไปจับ ถ้าหลายน้อยก็ใช้เรือเล็ก แต่ยังมีผู้ประกอบการบางรายไม่สามารถเลือกเรือที่จะออกจับปลาได้ เพราะต้นทุนมันต่างกันถ้าเอาเรือเล็กออกได้ปลาน้อยก็ไม่มีกำไร มันขึ้นอยู่กับศักยภาพของการลงทุนและความพร้อมของทีมงาน การก่อสร้างและการบริหารจัดการด้วยจึงจะไม่ขาดทุนและพัฒนาโครงการได้ทุกประเภททุกขนาด”นายประเสริฐกล่าว