ตลอดปี 2552 ที่ผ่านมาก็มีการประเมินผลงานของรัฐบาลกันหลายแห่ง ทั้งนักธุรกิจ สถาบันวิชาการ สื่อมวลชน ฯลฯ
แต่หากจะสรุปปัญหาของบ้านเมืองในเวลานี้ก็ต้องตอบกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาด้านหนึ่งก็มาจากนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรและพวกที่มีเป้าหมายทำให้ประเทศเข้าสู่วิกฤตเพื่อการเปลี่ยนแปลง และปัญหาอีกด้านหนึ่งก็มาจากวิธีการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่ทำงานแบบประเทศเหมือนไม่ได้อยู่ในวิกฤต
นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ยังคงทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้ตัวเองได้พ้นโทษจากคำพิพากษาของศาลฎีกา ต้องการล้มคดีของตัวเองที่กำลังพิจารณาในชั้นขององค์กรตรวจสอบอิสระตามรัฐธรรมนูญและศาล ต้องการเงินของตัวเองที่ถูกอายัดเอาไว้ได้รับคืนมามากที่สุด และยังมีความคิดที่จะเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้เพื่อให้ได้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเหมือนเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยบริหารประเทศอีก
สำหรับยุทธวิธีทั้งหมดของระบอบทักษิณในรอบปีที่ผ่านมาก็คือการชุมนุมสร้างแรงกดดัน สร้างสถานการณ์ ก่อเหตุความรุนแรงและจลาจล สร้างเกมปั่นป่วนในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำไปสู่ทางเลือกเพื่อนำไปสู่ใน 3 กลไก คือ
1. ยุบสภาและให้เลือกตั้งใหม่ ควบคู่ไปกับการชุมนุมปราศรัยเพื่อขยายมวลชนจัดตั้ง และขยายเครือข่ายวิทยุชุมชน โฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อทุกประเภท อันเป็นการเตรียมตัวเพื่อให้ได้ชัยชนะหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า
หรือ 2. เจรจาหรือต้องการบุคคลในระดับสูงกว่ารัฐบาลมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อหวังที่จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษ
หรือ 3. สั่งสมอาวุธและกองกำลังเพื่อนำไปสู่การปฏิวัติประชาชน
ดังที่นักโทษชายทักษิณคนนี้ได้เคยโฟนอินมาที่สนามรัชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 ว่า:
“ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอก นอกจาก พระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังของพี่น้องประชาชนทุกท่าน จริงไหมครับ”
ในขณะที่รัฐบาลเองมีอำนาจรัฐแท้ๆ แต่กลับบริหารราชการแผ่นดินเหมือนประเทศอยู่ในภาวะปกติ และติดกับดักตัวเอง 4 ประการ
กับดักประการแรก คือ การเน้นแต่เสถียรภาพรัฐบาลจนต้องยินยอมและเอาใจพรรคร่วมรัฐบาลและกองทัพได้อำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จ พรรคร่วมรัฐบาลได้อำนาจโยกย้ายข้าราชการ ได้งบประมาณ และได้โครงการต่างๆ โดยไม่สนใจวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแกนนำรัฐบาลเองไม่สามารถขับเคลื่อนแก้ไขให้ปัญหาบ้านเมืองได้เต็มที่ เช่น ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ฯลฯ
กับดักประการที่สอง คือ อยากได้ภาพลักษณ์ว่าเป็นวีรบุรุษผู้เป็นกลาง ไม่กล้าใช้อำนาจรัฐเพื่อบังคับใช้กฎหมายกับคนเสื้อแดงอย่างเต็มที่ รวมถึงขั้นไม่กล้าใช้สื่อของรัฐทำความเข้าใจข้อเท็จจริงการโฆษณาชวนเชื่อของระบอบทักษิณ ไม่กล้าให้พันธมิตรฯ และชาว ASTV ได้ออกทีวีของรัฐ ในทางตรงกันข้ามกลับพยายามใช้สื่อรัฐไปสนับสนุนการประชาสัมพันธ์ให้กับกลุ่มกลางกลวง รักความสงบ โดยไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการนำเสนอความจริงให้กับประชาชนได้รับทราบได้
กับดักประการที่สาม เป็นผลต่อเนื่องจากกับดักในสองประการแรก จึงมองไม่เห็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นมิตร แต่เห็นเป็นก้างขวางคอ เป็นเสี้ยนหนาม และเป็นคู่แข่ง เพราะคอยเฝ้าตรวจสอบรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลในจุดอ่อนที่ติดกับดักตัวเองในสองประการแรก ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้นอกจากจะไม่สนับสนุนกิจกรรมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและธุรกิจสื่อในเครือ ASTV เหมือนกับรัฐบาลทุกยุคแล้ว ยังใช้กลไกของรัฐใส่ร้ายและไล่ฟ้องคดีอาญาและแพ่งให้กับแกนนำพันธมิตรฯ, ผู้ปราศรัย, พิธีกร และบุคลากรใน ASTV ในข้อหาที่ไม่เป็นความจริงเพื่อให้คดีแพ่งและอาญาติดตัวไปเพื่อให้เป็นที่เสื่อมเสียในทางสาธารณะในระยะยาวอีกด้วย
หนำซ้ำทัศนคติที่ว่า “กลุ่มเสื้อแดงและเสื้อเหลืองเป็นภัยอันตรายต่อประเทศ” ย่อมเป็นคำตอบยืนยันอีกครั้งหนึ่งต่อคำถามที่ว่าเหตุใด คดีการสังหารประชาชนที่มาชุมนุมร่วมกับพันธมิตรฯ ด้วยการยิงระเบิด M-79 ทุกครั้งที่ผ่านมา หรือแม้แต่คดีการรุมถล่มยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงไม่เคยมีความคืบหน้า
กับดักประการที่สี่ คือ ตั้งรับและเฝ้ารอความชอบธรรมอย่างเดียว โดยให้ฝ่ายระบอบทักษิณและคนเสื้อแดงกระทำรุนแรงอย่างเต็มที่ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้เข้าสลายด้วยความชอบธรรมในภายหลัง เป็นลักษณะที่เยียวยาเมื่อปัญหาเกิดขึ้นมาแล้วมากกว่าการป้องกันมิให้ปัญหาเกิดขึ้น แนวทางนี้จึงมักต้องให้ประเทศชาติเกิดความเสียหายหรือความสูญเสียก่อนแล้วจึงค่อยดำเนินการแก้ไขด้วยความชอบธรรม
สำหรับการจัดการปัญหาของระบอบทักษิณ รัฐบาลชุดนี้ทำงานใน “เชิงรับ” มากกว่า “เชิงรุก” ยกเว้นกระทรวงการต่างประเทศที่ถือว่าทำงานเชิงรุกอย่างชัดเจน จนสร้างความหวั่นไหวให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้มากที่สุดในขณะนี้
การที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เลื่อนว่าจะกลับมาเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า หรืออย่างช้าสุดเมษายนปีหน้านั้น ถือเป็นส่งสัญญาณเพื่อเตรียมพร้อมให้บรรลุเป้าหมายของตัวเองให้ได้
ดูจากเงื่อนไขเวลาแล้ว เดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าก็จะเป็นช่วงเวลากดดันในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเริ่มมีการชุมนุมกดดันตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคชาติไทย และภูมิใจไทยจะถือโอกาสนี้ทวงสัญญาจากพรรคประชาธิปัตย์ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะถือเป็นช่วงเวลาสร้างเกมอำนาจต่อรองตำแหน่ง งบประมาณ และอำนาจในรัฐบาลให้ได้มากที่สุด โดยมี “การยุบสภา” ซึ่งเป็นความต้องการของนักโทษชายทักษิณเป็นข้อแลกเปลี่ยนเดิมพัน
ส่วนช่วงเดือนเมษายนก็มีวันหยุดยาวเนื่องในวันสงกรานต์ และวันครอบครัว ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่กรุงเทพมหานครมีจำนวนประชากรเบาบาง เหมาะแก่การสร้างสถานการณ์ได้สะดวก
สำหรับแนวคิดเรื่องการปฏิวัติประชาชนโดยใช้กองกำลังติดอาวุธนั้น แม้ว่าจะมีความพยายามกันอยู่ แต่ก็เชื่อได้ว่าวันใดเกิดขึ้นเมื่อไหร่บ้านเมืองย่อมลุกเป็นไฟ รัฐบาลและทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็คงมีความชอบธรรมในการปราบปรามขั้นเด็ดขาดอย่างถึงที่สุด
แนวคิดการใช้อาวุธ และความรุนแรงจึงเป็นหนทางในการสร้างความหายนะให้กับนักโทษชายทักษิณเอง ซึ่งไม่มีวันที่จะมีชัยชนะเหนือรัฐบาลซึ่งเป็นผู้ถืออำนาจรัฐได้
แต่สำหรับประเทศไทย การสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การรัฐประหารก็ยังมองข้ามไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหารบุคคลสำคัญ การก่อวินาศกรรม การใช้อาวุธสงคราม และการจลาจล ฯลฯ
เพราะอย่างไรเสีย “รัฐาธิปัตย์” เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่จะลบล้างคดีของนักโทษชายทักษิณทั้งหมด และลบล้างคดีเข่นฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ได้อย่างสมบูรณ์ อันเป็นการสมประโยชน์กันทั้งกลุ่มอำนาจเก่าในระบอบทักษิณและกลุ่มอำนาจที่แทรกอยู่ในบางส่วนของอำนาจรัฐปัจจุบัน
แต่ประเทศไทยเป็นบ้านเมืองที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อได้ว่าคนชั่วต่อให้มีอำนาจก็จะปกครองได้ไม่นาน!
แต่ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองยังอึมครึม ต่างฝ่ายต่างจดจ่อตั้งท่ารำมวยกันอยู่นาน ประชาชนที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ คงย่อมรู้สึกอึดอัด หงุดหงิด อยากให้เรื่องทำนองอย่างนี้มันได้จบเสียที
เมื่อรัฐบาลยังอ่อนแอเพราะมัวแต่ติดกับดักของตัวเองเช่นนี้ สื่อของรัฐก็ไม่ทำความจริงให้ปรากฏเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนที่หลงผิด ประชาชนชาวไทยทั้งหลายก็ไม่ควรอยู่เฉยและควรหากิจกรรมซึ่งเป็นประโยชน์ เพื่อที่จะช่วยกันทำให้บ้านเมืองกลับมาปกติสุขโดยเร็วให้ได้
หนึ่งในกิจกรรมที่ขอเชิญชวนให้ประชาชนน่าจะทำในช่วงสิ้นปีเก่าและปีใหม่นี้ ก็คือการช่วยกันส่งสัญญาณถึงนักโทษชายทักษิณ ด้วยการทวิตเตอร์ถึง Thaksinlive และส่งข้อความของตัวเองไปให้นักโทษชายทักษิณได้อ่านโดยตรงว่าวันนี้คนไทยรู้สึกอย่างไรกับการเคลื่อนไหวของนักโทษชายทักษิณที่ผ่านมาและในอนาคต
ด้านหนึ่งจะเป็นหนทางในการระบายความเครียดของประชาชนที่กำลังอึดอัดอยู่กับสถานการณ์เช่นนี้
ด้านหนึ่งเป็นการสั่งสอน เตือนสตินักโทษชายทักษิณทางตรงที่ต้องได้อ่านอยู่แล้ว
และอีกด้านหนึ่งเป็นการจู่โจมไปยังจิตใจนักโทษชายทักษิณที่เป็นปัญหาของแผ่นดินอยู่ในเวลานี้โดยตรง เผื่อจะเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองเป็นปกติสุขเร็วขึ้น
อย่าได้ห่วงว่านักโทษชายทักษิณจะบล็อกชื่อของตัวเองออกจากการทวิตเตอร์เป็นอันขาด เพราะการบล็อกออกย่อมแสดงว่านักโทษชายทักษิณได้อ่านผ่านตาแล้ว ตอบไม่ได้แล้วยังเจ็บปวดถึงขั้นรับไม่ได้จนต้องบล็อกออกไปกลัวคนอื่นจะเห็น ย่อมถือว่าภารกิจนั้นสำเร็จ
ถ้านักโทษชายทักษิณอ่านแล้วไม่บล็อกและตอบมา แสดงว่าเนื้อความโดนใจนักโทษชายทักษิณจนทนไม่ไหวต้องตอบกลับมา เราก็จะได้เห็นสติปัญญาและอารมณ์ของนักโทษชายทักษิณว่าตอบการทวิตเตอร์ครั้งนั้นได้มากแค่ไหน
ถ้านักโทษชายทักษิณอ่านแล้วไม่บล็อกและไม่ตอบ ก็ถือว่าสำเร็จเช่นเดียวกัน เพราะถือว่านักโทษชายทักษิณได้อ่านแล้วตอบไม่ได้ และเป็นใบ้รับประทาน
ลองคิดดูว่าถ้ามีประชาชนทั่วไปเข้าไปทวิตเตอร์จำนวนมาก ทักษิณซึ่งหมกมุ่นกับการทวิตเตอร์ทั้งวันอยู่แล้ว จะอดทนอ่านข้อความเหล่านั้นและอดทนบล็อกคนเข้ามาซึ่งมีมากมายเต็มไปหมด ได้นานแค่ไหน?
หรืออย่างน้อยก็เป็นการถ่วงเวลาให้ทักษิณหมกมุ่นอยู่กับการบล็อกทั้งวัน จะได้ไม่มีเวลาไปคิดวางแผนที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายในประเทศไทยอีก
ใครโชคดีส่งข้อความได้เด็ดโดนใจทักษิณ อาจได้ขึ้นในเว็บไซต์ข่าวอันดับหนึ่งของเว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการ ใน www.manager.co.th หรือนำมาอ่านใน ASTV ให้ประชาชนได้อ่านชื่นชม ยกย่อง โดยทั่วกัน
และนี่คือของขวัญปีใหม่ที่มอบให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ข้าในขอบขันธสีมาของกัมพูชา!
แต่หากจะสรุปปัญหาของบ้านเมืองในเวลานี้ก็ต้องตอบกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ปัญหาด้านหนึ่งก็มาจากนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรและพวกที่มีเป้าหมายทำให้ประเทศเข้าสู่วิกฤตเพื่อการเปลี่ยนแปลง และปัญหาอีกด้านหนึ่งก็มาจากวิธีการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่ทำงานแบบประเทศเหมือนไม่ได้อยู่ในวิกฤต
นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ยังคงทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเป้าหมายสูงสุดเพื่อให้ตัวเองได้พ้นโทษจากคำพิพากษาของศาลฎีกา ต้องการล้มคดีของตัวเองที่กำลังพิจารณาในชั้นขององค์กรตรวจสอบอิสระตามรัฐธรรมนูญและศาล ต้องการเงินของตัวเองที่ถูกอายัดเอาไว้ได้รับคืนมามากที่สุด และยังมีความคิดที่จะเอารัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้เพื่อให้ได้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จเหมือนเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยบริหารประเทศอีก
สำหรับยุทธวิธีทั้งหมดของระบอบทักษิณในรอบปีที่ผ่านมาก็คือการชุมนุมสร้างแรงกดดัน สร้างสถานการณ์ ก่อเหตุความรุนแรงและจลาจล สร้างเกมปั่นป่วนในสภาผู้แทนราษฎร เพื่อนำไปสู่ทางเลือกเพื่อนำไปสู่ใน 3 กลไก คือ
1. ยุบสภาและให้เลือกตั้งใหม่ ควบคู่ไปกับการชุมนุมปราศรัยเพื่อขยายมวลชนจัดตั้ง และขยายเครือข่ายวิทยุชุมชน โฆษณาชวนเชื่อผ่านสื่อทุกประเภท อันเป็นการเตรียมตัวเพื่อให้ได้ชัยชนะหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า
หรือ 2. เจรจาหรือต้องการบุคคลในระดับสูงกว่ารัฐบาลมาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเพื่อหวังที่จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษ
หรือ 3. สั่งสมอาวุธและกองกำลังเพื่อนำไปสู่การปฏิวัติประชาชน
ดังที่นักโทษชายทักษิณคนนี้ได้เคยโฟนอินมาที่สนามรัชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2551 ว่า:
“ไม่มีใครที่จะเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอก นอกจาก พระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็พลังของพี่น้องประชาชนทุกท่าน จริงไหมครับ”
ในขณะที่รัฐบาลเองมีอำนาจรัฐแท้ๆ แต่กลับบริหารราชการแผ่นดินเหมือนประเทศอยู่ในภาวะปกติ และติดกับดักตัวเอง 4 ประการ
กับดักประการแรก คือ การเน้นแต่เสถียรภาพรัฐบาลจนต้องยินยอมและเอาใจพรรคร่วมรัฐบาลและกองทัพได้อำนาจรัฐแบบเบ็ดเสร็จ พรรคร่วมรัฐบาลได้อำนาจโยกย้ายข้าราชการ ได้งบประมาณ และได้โครงการต่างๆ โดยไม่สนใจวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแกนนำรัฐบาลเองไม่สามารถขับเคลื่อนแก้ไขให้ปัญหาบ้านเมืองได้เต็มที่ เช่น ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ฯลฯ
กับดักประการที่สอง คือ อยากได้ภาพลักษณ์ว่าเป็นวีรบุรุษผู้เป็นกลาง ไม่กล้าใช้อำนาจรัฐเพื่อบังคับใช้กฎหมายกับคนเสื้อแดงอย่างเต็มที่ รวมถึงขั้นไม่กล้าใช้สื่อของรัฐทำความเข้าใจข้อเท็จจริงการโฆษณาชวนเชื่อของระบอบทักษิณ ไม่กล้าให้พันธมิตรฯ และชาว ASTV ได้ออกทีวีของรัฐ ในทางตรงกันข้ามกลับพยายามใช้สื่อรัฐไปสนับสนุนการประชาสัมพันธ์ให้กับกลุ่มกลางกลวง รักความสงบ โดยไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการนำเสนอความจริงให้กับประชาชนได้รับทราบได้
กับดักประการที่สาม เป็นผลต่อเนื่องจากกับดักในสองประการแรก จึงมองไม่เห็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นมิตร แต่เห็นเป็นก้างขวางคอ เป็นเสี้ยนหนาม และเป็นคู่แข่ง เพราะคอยเฝ้าตรวจสอบรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาลในจุดอ่อนที่ติดกับดักตัวเองในสองประการแรก ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้นอกจากจะไม่สนับสนุนกิจกรรมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและธุรกิจสื่อในเครือ ASTV เหมือนกับรัฐบาลทุกยุคแล้ว ยังใช้กลไกของรัฐใส่ร้ายและไล่ฟ้องคดีอาญาและแพ่งให้กับแกนนำพันธมิตรฯ, ผู้ปราศรัย, พิธีกร และบุคลากรใน ASTV ในข้อหาที่ไม่เป็นความจริงเพื่อให้คดีแพ่งและอาญาติดตัวไปเพื่อให้เป็นที่เสื่อมเสียในทางสาธารณะในระยะยาวอีกด้วย
หนำซ้ำทัศนคติที่ว่า “กลุ่มเสื้อแดงและเสื้อเหลืองเป็นภัยอันตรายต่อประเทศ” ย่อมเป็นคำตอบยืนยันอีกครั้งหนึ่งต่อคำถามที่ว่าเหตุใด คดีการสังหารประชาชนที่มาชุมนุมร่วมกับพันธมิตรฯ ด้วยการยิงระเบิด M-79 ทุกครั้งที่ผ่านมา หรือแม้แต่คดีการรุมถล่มยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงไม่เคยมีความคืบหน้า
กับดักประการที่สี่ คือ ตั้งรับและเฝ้ารอความชอบธรรมอย่างเดียว โดยให้ฝ่ายระบอบทักษิณและคนเสื้อแดงกระทำรุนแรงอย่างเต็มที่ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้เข้าสลายด้วยความชอบธรรมในภายหลัง เป็นลักษณะที่เยียวยาเมื่อปัญหาเกิดขึ้นมาแล้วมากกว่าการป้องกันมิให้ปัญหาเกิดขึ้น แนวทางนี้จึงมักต้องให้ประเทศชาติเกิดความเสียหายหรือความสูญเสียก่อนแล้วจึงค่อยดำเนินการแก้ไขด้วยความชอบธรรม
สำหรับการจัดการปัญหาของระบอบทักษิณ รัฐบาลชุดนี้ทำงานใน “เชิงรับ” มากกว่า “เชิงรุก” ยกเว้นกระทรวงการต่างประเทศที่ถือว่าทำงานเชิงรุกอย่างชัดเจน จนสร้างความหวั่นไหวให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้มากที่สุดในขณะนี้
การที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เลื่อนว่าจะกลับมาเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า หรืออย่างช้าสุดเมษายนปีหน้านั้น ถือเป็นส่งสัญญาณเพื่อเตรียมพร้อมให้บรรลุเป้าหมายของตัวเองให้ได้
ดูจากเงื่อนไขเวลาแล้ว เดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าก็จะเป็นช่วงเวลากดดันในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเริ่มมีการชุมนุมกดดันตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่พรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคชาติไทย และภูมิใจไทยจะถือโอกาสนี้ทวงสัญญาจากพรรคประชาธิปัตย์ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะถือเป็นช่วงเวลาสร้างเกมอำนาจต่อรองตำแหน่ง งบประมาณ และอำนาจในรัฐบาลให้ได้มากที่สุด โดยมี “การยุบสภา” ซึ่งเป็นความต้องการของนักโทษชายทักษิณเป็นข้อแลกเปลี่ยนเดิมพัน
ส่วนช่วงเดือนเมษายนก็มีวันหยุดยาวเนื่องในวันสงกรานต์ และวันครอบครัว ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่กรุงเทพมหานครมีจำนวนประชากรเบาบาง เหมาะแก่การสร้างสถานการณ์ได้สะดวก
สำหรับแนวคิดเรื่องการปฏิวัติประชาชนโดยใช้กองกำลังติดอาวุธนั้น แม้ว่าจะมีความพยายามกันอยู่ แต่ก็เชื่อได้ว่าวันใดเกิดขึ้นเมื่อไหร่บ้านเมืองย่อมลุกเป็นไฟ รัฐบาลและทหารในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็คงมีความชอบธรรมในการปราบปรามขั้นเด็ดขาดอย่างถึงที่สุด
แนวคิดการใช้อาวุธ และความรุนแรงจึงเป็นหนทางในการสร้างความหายนะให้กับนักโทษชายทักษิณเอง ซึ่งไม่มีวันที่จะมีชัยชนะเหนือรัฐบาลซึ่งเป็นผู้ถืออำนาจรัฐได้
แต่สำหรับประเทศไทย การสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การรัฐประหารก็ยังมองข้ามไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการลอบสังหารบุคคลสำคัญ การก่อวินาศกรรม การใช้อาวุธสงคราม และการจลาจล ฯลฯ
เพราะอย่างไรเสีย “รัฐาธิปัตย์” เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่จะลบล้างคดีของนักโทษชายทักษิณทั้งหมด และลบล้างคดีเข่นฆ่าประชาชนเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ได้อย่างสมบูรณ์ อันเป็นการสมประโยชน์กันทั้งกลุ่มอำนาจเก่าในระบอบทักษิณและกลุ่มอำนาจที่แทรกอยู่ในบางส่วนของอำนาจรัฐปัจจุบัน
แต่ประเทศไทยเป็นบ้านเมืองที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชื่อได้ว่าคนชั่วต่อให้มีอำนาจก็จะปกครองได้ไม่นาน!
แต่ในสถานการณ์ที่บ้านเมืองยังอึมครึม ต่างฝ่ายต่างจดจ่อตั้งท่ารำมวยกันอยู่นาน ประชาชนที่เฝ้าติดตามสถานการณ์ คงย่อมรู้สึกอึดอัด หงุดหงิด อยากให้เรื่องทำนองอย่างนี้มันได้จบเสียที
เมื่อรัฐบาลยังอ่อนแอเพราะมัวแต่ติดกับดักของตัวเองเช่นนี้ สื่อของรัฐก็ไม่ทำความจริงให้ปรากฏเพื่อทำความเข้าใจกับประชาชนที่หลงผิด ประชาชนชาวไทยทั้งหลายก็ไม่ควรอยู่เฉยและควรหากิจกรรมซึ่งเป็นประโยชน์ เพื่อที่จะช่วยกันทำให้บ้านเมืองกลับมาปกติสุขโดยเร็วให้ได้
หนึ่งในกิจกรรมที่ขอเชิญชวนให้ประชาชนน่าจะทำในช่วงสิ้นปีเก่าและปีใหม่นี้ ก็คือการช่วยกันส่งสัญญาณถึงนักโทษชายทักษิณ ด้วยการทวิตเตอร์ถึง Thaksinlive และส่งข้อความของตัวเองไปให้นักโทษชายทักษิณได้อ่านโดยตรงว่าวันนี้คนไทยรู้สึกอย่างไรกับการเคลื่อนไหวของนักโทษชายทักษิณที่ผ่านมาและในอนาคต
ด้านหนึ่งจะเป็นหนทางในการระบายความเครียดของประชาชนที่กำลังอึดอัดอยู่กับสถานการณ์เช่นนี้
ด้านหนึ่งเป็นการสั่งสอน เตือนสตินักโทษชายทักษิณทางตรงที่ต้องได้อ่านอยู่แล้ว
และอีกด้านหนึ่งเป็นการจู่โจมไปยังจิตใจนักโทษชายทักษิณที่เป็นปัญหาของแผ่นดินอยู่ในเวลานี้โดยตรง เผื่อจะเป็นหนทางหนึ่งที่ทำให้บ้านเมืองเป็นปกติสุขเร็วขึ้น
อย่าได้ห่วงว่านักโทษชายทักษิณจะบล็อกชื่อของตัวเองออกจากการทวิตเตอร์เป็นอันขาด เพราะการบล็อกออกย่อมแสดงว่านักโทษชายทักษิณได้อ่านผ่านตาแล้ว ตอบไม่ได้แล้วยังเจ็บปวดถึงขั้นรับไม่ได้จนต้องบล็อกออกไปกลัวคนอื่นจะเห็น ย่อมถือว่าภารกิจนั้นสำเร็จ
ถ้านักโทษชายทักษิณอ่านแล้วไม่บล็อกและตอบมา แสดงว่าเนื้อความโดนใจนักโทษชายทักษิณจนทนไม่ไหวต้องตอบกลับมา เราก็จะได้เห็นสติปัญญาและอารมณ์ของนักโทษชายทักษิณว่าตอบการทวิตเตอร์ครั้งนั้นได้มากแค่ไหน
ถ้านักโทษชายทักษิณอ่านแล้วไม่บล็อกและไม่ตอบ ก็ถือว่าสำเร็จเช่นเดียวกัน เพราะถือว่านักโทษชายทักษิณได้อ่านแล้วตอบไม่ได้ และเป็นใบ้รับประทาน
ลองคิดดูว่าถ้ามีประชาชนทั่วไปเข้าไปทวิตเตอร์จำนวนมาก ทักษิณซึ่งหมกมุ่นกับการทวิตเตอร์ทั้งวันอยู่แล้ว จะอดทนอ่านข้อความเหล่านั้นและอดทนบล็อกคนเข้ามาซึ่งมีมากมายเต็มไปหมด ได้นานแค่ไหน?
หรืออย่างน้อยก็เป็นการถ่วงเวลาให้ทักษิณหมกมุ่นอยู่กับการบล็อกทั้งวัน จะได้ไม่มีเวลาไปคิดวางแผนที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายในประเทศไทยอีก
ใครโชคดีส่งข้อความได้เด็ดโดนใจทักษิณ อาจได้ขึ้นในเว็บไซต์ข่าวอันดับหนึ่งของเว็บไซต์ ASTV ผู้จัดการ ใน www.manager.co.th หรือนำมาอ่านใน ASTV ให้ประชาชนได้อ่านชื่นชม ยกย่อง โดยทั่วกัน
และนี่คือของขวัญปีใหม่ที่มอบให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ข้าในขอบขันธสีมาของกัมพูชา!