นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ปี 53 คาดรายได้จะเติบโต 10% จากปี 52 และเชื่อว่าจะมีกำไรสุทธิดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ยอดขายปี 53 อาจจะไม่เติบโตแบบก้าวกระโดด แต่เชื่อว่าสินค้าอาหารสำเร็จรูปยังคงเติบโต เนื่องจากภาพการเติบโตจากการลงทุนในต่างประเทศที่ยังดีต่อเนื่อง ขณะเดียวกันแนวโน้มการส่งออกกุ้งจะเพิ่มขึ้น 50% จากปี 52
นอกจากนี้ปีหน้าบริษัทจะปรับสัดส่วนรายได้ใหม่คือ ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป (FOOD) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 22-25% จากปี 52 ที่มี 20% ขณะรายได้จากการส่งออกจะเพิ่มเป็น 18-20% จากปีนี้ส่งออกได้ 17% ของรายได้รวม และลดธุรกิจฟาร์มหรือการเลี้ยงไก่และหมูเหลือ 40% จากปีนี้ที่มี 45% เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนธุรกิจอาหารสัตว์ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของบริษัทยังคงอยู่ที่ 30%
" จากนี้ไปเราจะลดน้ำหนักเรื่องฟาร์ม แต่จะหันมาเน้นเรื่องอาหารเพราะผมเชื่อว่าการบริโภคยังมีต่อเนื่อง และมองว่าปีหน้ายอดขายกุ้ง รวมสินค้าสำเร็จรูปที่ใช้กุ้งเป็นส่วนผลิตเติบโต 50% เพิ่มเป็น 5 หมื่นตัน จากปีนี้ที่มียอดขาย 3.5 หมื่นตัน ขณะที่ยอดส่งออกปีหน้าคาดว่าจะเติบโตราว 10% เป็น 1 แสนตันจาก 9 หมื่นตัน เนื่องจากโควต้าในอียูเริ่มมีจำกัด "
อย่างไรก็ดี CPF ตั้งเป้างบลงทุนปี 53 ไว้ที่ 5 พันล้าบาท แบ่งเป็นการลงทุนในและต่างประเทศอย่างละ 50% โดยเฉพาะรัสเซียที่คาดว่าจะเติบโตเกินกว่า 50% พร้อมกับมีแผนซื้อกิจการโรงงานแปรรูปหมูในรัสเซียเพิ่มอีก 1 แห่ง ซึ่งขณะนี้เจรจาอยู่ 2 -3 ราย คาดสรุปดีลนี้ได้ไตรมาสแรกปี 53 ขณะที่ฟิลิปปินส์ ,ตุรกี และ อินเดีย จะเป็นการลงทุนขยายธุรกิจต่อเนื่อง นอกจากนั้นบริษัทยังเตรียมดูลู่ทางและลงทุนในแอฟริกาใต้ ซึ่งจะเดินทางสำรวจต้นปีหน้า ส่วนในประเทศจะขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าเพิ่มผ่านทางร้านซีพีเฟรชมาร์ท เพิ่มอีก 1 พันแห่งและแผนใน 3 ปีข้างหน้าจะขยายอีก 2 พันแห่ง ขณะที่เพิ่มจุดขายไก่ย่างห้าดาว 1 พันจุดพร้อมกับเพิ่มเมนูข้าวมันไก่และบะหมี่หมูแดง ขยาย 500 จุด ขายลักษณะเฟรนไชส์
สำหรับผลงานปี 52 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิเกิน 1 หมื่นล้านบาท ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม
( EBITDA ) 15,000 ล้านบาท และรายได้ปี 52 อยู่ที่ประมาณ 16,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นผลจากการลงทุนในต่างประเทศที่สร้างผลกำไรให้กับบริษัทอย่างงดงาม โดยเฉพาะรัสเซียที่เริ่มรับรู้รายได้เข้ามาแล้ว จึงถือว่าเป็นปีที่ดีของบริษัท เพราะกำไรโดดเด่นมาก ซึ่งยังไม่รวมกำไรไตรมาส 4 ที่รอการปิดงบสิ้นปี 52
นอกจากนี้ปีหน้าบริษัทจะปรับสัดส่วนรายได้ใหม่คือ ธุรกิจอาหารสำเร็จรูป (FOOD) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 22-25% จากปี 52 ที่มี 20% ขณะรายได้จากการส่งออกจะเพิ่มเป็น 18-20% จากปีนี้ส่งออกได้ 17% ของรายได้รวม และลดธุรกิจฟาร์มหรือการเลี้ยงไก่และหมูเหลือ 40% จากปีนี้ที่มี 45% เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนธุรกิจอาหารสัตว์ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมของบริษัทยังคงอยู่ที่ 30%
" จากนี้ไปเราจะลดน้ำหนักเรื่องฟาร์ม แต่จะหันมาเน้นเรื่องอาหารเพราะผมเชื่อว่าการบริโภคยังมีต่อเนื่อง และมองว่าปีหน้ายอดขายกุ้ง รวมสินค้าสำเร็จรูปที่ใช้กุ้งเป็นส่วนผลิตเติบโต 50% เพิ่มเป็น 5 หมื่นตัน จากปีนี้ที่มียอดขาย 3.5 หมื่นตัน ขณะที่ยอดส่งออกปีหน้าคาดว่าจะเติบโตราว 10% เป็น 1 แสนตันจาก 9 หมื่นตัน เนื่องจากโควต้าในอียูเริ่มมีจำกัด "
อย่างไรก็ดี CPF ตั้งเป้างบลงทุนปี 53 ไว้ที่ 5 พันล้าบาท แบ่งเป็นการลงทุนในและต่างประเทศอย่างละ 50% โดยเฉพาะรัสเซียที่คาดว่าจะเติบโตเกินกว่า 50% พร้อมกับมีแผนซื้อกิจการโรงงานแปรรูปหมูในรัสเซียเพิ่มอีก 1 แห่ง ซึ่งขณะนี้เจรจาอยู่ 2 -3 ราย คาดสรุปดีลนี้ได้ไตรมาสแรกปี 53 ขณะที่ฟิลิปปินส์ ,ตุรกี และ อินเดีย จะเป็นการลงทุนขยายธุรกิจต่อเนื่อง นอกจากนั้นบริษัทยังเตรียมดูลู่ทางและลงทุนในแอฟริกาใต้ ซึ่งจะเดินทางสำรวจต้นปีหน้า ส่วนในประเทศจะขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าเพิ่มผ่านทางร้านซีพีเฟรชมาร์ท เพิ่มอีก 1 พันแห่งและแผนใน 3 ปีข้างหน้าจะขยายอีก 2 พันแห่ง ขณะที่เพิ่มจุดขายไก่ย่างห้าดาว 1 พันจุดพร้อมกับเพิ่มเมนูข้าวมันไก่และบะหมี่หมูแดง ขยาย 500 จุด ขายลักษณะเฟรนไชส์
สำหรับผลงานปี 52 บริษัทคาดว่าจะมีกำไรสุทธิเกิน 1 หมื่นล้านบาท ตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยมีกำไรก่อนหักภาษี ดอกเบี้ย และค่าเสื่อม
( EBITDA ) 15,000 ล้านบาท และรายได้ปี 52 อยู่ที่ประมาณ 16,000 ล้านบาท เนื่องจากเป็นผลจากการลงทุนในต่างประเทศที่สร้างผลกำไรให้กับบริษัทอย่างงดงาม โดยเฉพาะรัสเซียที่เริ่มรับรู้รายได้เข้ามาแล้ว จึงถือว่าเป็นปีที่ดีของบริษัท เพราะกำไรโดดเด่นมาก ซึ่งยังไม่รวมกำไรไตรมาส 4 ที่รอการปิดงบสิ้นปี 52