ASTV ผู้จัดการรายวัน – บล.โกลเบล็ก มองตลาดอนุพันธ์ปี2552 เติบโตก้าวกระโดดหลังTFEXเพิ่มสินค้าโกลด์ ฟิวเจอรร์ส ซึ่งตั้งแต่ต้นปีมีปริมาณการซื้อขายแล้วถึง 5.6 แสนสัญญา เชื่อมินิโกลล์ฟิวเจอร์สดันปริมาณซื้อขายปีหน้าเพิ่มขึ้นอีก ตั้งเป้าปีหน้าเพิ่มลูกค้าใหม่อีก1พันบัญชี ดันฐานลูกค้าขยายตัวเท่าตัวแตะ 2,000 บัญชีในช่วงสิ้นปี ส่วนมาร์เกตแชร์ตลาดTFEX หวังขยับเพิ่มขึ้น10% จากปัจจุบัน 7.09%
นายสัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมในตลาดอนุพันธ์(TFEX)ว่า ตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึงวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ตลาด TFEX มีการซื้อขายสัญญาทั้ง Futures และ Options ไปแล้วทั้งหมด 2,948,480 สัญญา โดยหากเทียบสัดส่วนกับปริมาณซื้อขายกับปริมาณซื้อขายของตลาดหุ้นแล้วถือว่า ตลาด TFEX มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก
เหตุผลที่ทำให้ตลาด TFEX ในปี 2552 เติบโตก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปี 2551 คือ จำนวนบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาล่วงหน้าเพิ่มขึ้นในปลายปี 2551 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งในปีนี้ ทางตลาดอนุพันธ์ได้นำสินค้าโกลด์ฟิวเจอร์สเข้ามาให้ซื้อขาย ซึ่งเป็นสาเหตุให้จำนวนฐานลูกค้าของตลาดล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลถึงวันที่ 16 ธ.ค. สัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สมีการซื้อขายถึง 566,288 สัญญาแล้ว โดยเฉพาะช่วงสองเดือนสุดท้ายของปีนี้ มีหลายวันที่มูลค่าการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าทองคำนั้นได้แซงหน้าสินค้าตัวเก่าอย่าง SET 50 Index Futures แล้ว
สำหรับแนวโน้มตลาดอนุพันธ์ในปี 2553 มองว่า การเติบโตของจำนวนลูกค้าใหม่ในตลาด และการเติบโตของปริมาณการซื้อขายในตลาดนั้น คาดว่าจะเติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่องอีก เนื่องจากทางTFEX ยังคงมีแผนที่จะขยายประเภทสินค้าล่วงหน้าต่อเนื่อง โดยในวันที่ 8 ก.พ. 2553 นั้นจะมีการนำ Mini-Gold Futures หรือสัญญาล่วงหน้าทองคำขนาด 10 บาทเข้ามาซื้อขายกัน ซึ่งจะทำให้ฐานลูกค้าขนาดกลางและย่อยสามารถใช้ประโยชน์จากสินค้าล่วงหน้าได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 ของปีหน้า คาดว่าตลาดจะนำสัญญาล่วงหน้าดอกเบี้ยหรือ Interest Rate Futures เพิ่มเข้ามาอีก แถมในอนาคตยังมีแผนจะนำสัญญาล่วงหน้าอัตราแลกเปลี่ยนหรือ Currency Futures มาให้ซื้อขายกันอีก ซึ่งอันหลังอยู่ในช่วงศึกษาความเป็นไปได้กับทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
อย่างไรก็ดี แม้ตลาดอนุพันธ์บ้านเราจะเติบโตต่อเนื่อง แต่หากเทียบกับประเทศอื่นๆที่พัฒนาแล้วหรือสัดส่วนของการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศไทยนั้นอยู่เพียง 21 % ซึ่งถือว่าน้อยมาก โดยเฉพาะหากเทียบกับประเทศอย่างเกาหลีที่มีสัดส่วนของตลาดอนุพันธ์ที่มากกว่าตลาดหุ้นถึงกว่า 3,500%
อย่างไรก็ตาม บล.โกลเบล็ก ยังมองว่า ตลาดอนุพันธ์ของไทยนั้นยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมากมาย โดยเชื่อว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มมากกว่าโบรกเกอร์อื่นๆที่อาจจะซื้อขายได้เพียงสินค้าตัวเดียว อีกทั้งการมีโกลด์ฟิวเจอร์สขนาด 10 บาทเข้ามา ทำให้บล.โกลเบล็กที่มีบริษัทแม่คือ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้งฯ ที่เป็นผู้นำเข้าส่งออกทองคำแท่งอยู่แล้ว สามารถให้บริการกับลูกค้าที่สนใจลงทุนในทองคำแท่งและโกลด์ฟิวเจอร์สได้อย่างครบวงจร
โดยในปี 2553 ทางโกลเบล็กมีแผนที่จะเพิ่มช่องทางการให้บริการลูกค้าให้หลากหลาย ทั้งผ่านช่องทางเจ้าหน้าที่การตลาดที่มีความรู้ในทุกสินค้าอนุพันธ์อย่างแท้จริง ผ่านช่องทางมือถือ เว็บไซด์ การสัมมนาและสื่ออื่นๆ ซึ่งจะเน้นที่ผลประโยชน์สูงสุดของนักลงทุนเป็นหลัก พร้อมทั้งจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆและโปรโมชั่นมากมายเพื่อให้นักลงทุนได้เข้าถึงและเข้าใจในสินค้าอนุพันธ์ให้ได้หลากชนิดมากขึ้น
"ปีหน้า เราตั้งเป้าไว้ว่าจะมีลูกค้าเปิดบัญชีเข้ามาลงทุนกับเราเพิ่มขึ้นอีก 1,000 บัญชี ซึ่งจะทำให้ฐานลูกค้าของเราขยายขึ้นเป็น 1,900 – 2,000 บัญชี ส่วนมาร์เกตแชร์เราก็หวังจะเป็นที่หนึ่งในด้านนี้ จากปัจจุบันเราเป็นที่หนึ้งในส่วนของโกลด์ฟิวเจอร์สแล้ว อย่างไรก็ตามประเมินว่าการแข่งขันในตลาดTFEXจะสูงขึ้น ซึ่งในส่วนของเราก็ตั้งเป้าให้มาร์เกตแชร์ขยับขึ้น10%กว่า เหมือนตอนนี้ที่มาร์เกตแชร์ของเราตั้งแต่ตุลาคมที่ผ่านมาก็แตะ13.80%แล้ว และหน้าที่ต่อไปคือต้องรักษาส่วนแบ่งการตลาดตรงนี้ให้ได้"
สำหรับปี 2552 ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 16 ธันวาคมนั้น ทางโกลเบล็กมีปริมาณการซื้อขายสินค้าในตลาดอนุพันธ์ไปแล้ว 417,977 สัญญา หรือ 7.09% ของปริมาณทั้งตลาด จากส่วนแบ่งการตลาดที่ไม่ถึง 1% ในปี 2551 ซึ่งถือเป็นอันดับ 3 ในอุตสาหกรรม แต่หากพิจารณาไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 นั้น โกลเบล็กมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในอุตสาหกรรมเลยทีเดียว ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สของโกลเบล็กนั้นอยู่ที่ 16.95% ของทั้งตลาด โดยมีจำนวนสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สที่ซื้อขายไปแล้วทั้งหมด 95,969 สัญญา
"เรามีลูกค้าที่เปิดบัญชีในตลาดอนุพันธ์กว่า 900 บัญชี ในจำนวนมีมีลูกค้าที่ไม่ใช่นักลงทุนหุ้น เข้ามาเปิดบัญชีเพื่อลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สกว่า 400 บัญชี และเป็นปัญชีที่มีการลงทุนต่อเนื่องกว่า 50%ของทั้งหมด ส่วนกรณีที่ราคาทองคำปรับตังลดลงมา ในาส่วนลูกค้าของเราเกือบทั้งหมดไม่ได้รับผลกระทบจากจุดนี้ เนื่องจากเราจะคอยดูและให้คำแนะนำกับลูกค้าโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเมื่อราคาถึงจุดตัดขาดทุน หรือแนวโน้มในการเก็งกำไร "
นายสัญญา หาญพัฒนกิจพานิช ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมในตลาดอนุพันธ์(TFEX)ว่า ตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึงวันที่ 16 ธันวาคมที่ผ่านมา ตลาด TFEX มีการซื้อขายสัญญาทั้ง Futures และ Options ไปแล้วทั้งหมด 2,948,480 สัญญา โดยหากเทียบสัดส่วนกับปริมาณซื้อขายกับปริมาณซื้อขายของตลาดหุ้นแล้วถือว่า ตลาด TFEX มีอัตราการเติบโตที่สูงมาก
เหตุผลที่ทำให้ตลาด TFEX ในปี 2552 เติบโตก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปี 2551 คือ จำนวนบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตเป็นตัวแทนซื้อขายสัญญาล่วงหน้าเพิ่มขึ้นในปลายปี 2551 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งในปีนี้ ทางตลาดอนุพันธ์ได้นำสินค้าโกลด์ฟิวเจอร์สเข้ามาให้ซื้อขาย ซึ่งเป็นสาเหตุให้จำนวนฐานลูกค้าของตลาดล่วงหน้าเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลถึงวันที่ 16 ธ.ค. สัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สมีการซื้อขายถึง 566,288 สัญญาแล้ว โดยเฉพาะช่วงสองเดือนสุดท้ายของปีนี้ มีหลายวันที่มูลค่าการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าทองคำนั้นได้แซงหน้าสินค้าตัวเก่าอย่าง SET 50 Index Futures แล้ว
สำหรับแนวโน้มตลาดอนุพันธ์ในปี 2553 มองว่า การเติบโตของจำนวนลูกค้าใหม่ในตลาด และการเติบโตของปริมาณการซื้อขายในตลาดนั้น คาดว่าจะเติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่องอีก เนื่องจากทางTFEX ยังคงมีแผนที่จะขยายประเภทสินค้าล่วงหน้าต่อเนื่อง โดยในวันที่ 8 ก.พ. 2553 นั้นจะมีการนำ Mini-Gold Futures หรือสัญญาล่วงหน้าทองคำขนาด 10 บาทเข้ามาซื้อขายกัน ซึ่งจะทำให้ฐานลูกค้าขนาดกลางและย่อยสามารถใช้ประโยชน์จากสินค้าล่วงหน้าได้มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ในไตรมาส 3 ของปีหน้า คาดว่าตลาดจะนำสัญญาล่วงหน้าดอกเบี้ยหรือ Interest Rate Futures เพิ่มเข้ามาอีก แถมในอนาคตยังมีแผนจะนำสัญญาล่วงหน้าอัตราแลกเปลี่ยนหรือ Currency Futures มาให้ซื้อขายกันอีก ซึ่งอันหลังอยู่ในช่วงศึกษาความเป็นไปได้กับทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)
อย่างไรก็ดี แม้ตลาดอนุพันธ์บ้านเราจะเติบโตต่อเนื่อง แต่หากเทียบกับประเทศอื่นๆที่พัฒนาแล้วหรือสัดส่วนของการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศไทยนั้นอยู่เพียง 21 % ซึ่งถือว่าน้อยมาก โดยเฉพาะหากเทียบกับประเทศอย่างเกาหลีที่มีสัดส่วนของตลาดอนุพันธ์ที่มากกว่าตลาดหุ้นถึงกว่า 3,500%
อย่างไรก็ตาม บล.โกลเบล็ก ยังมองว่า ตลาดอนุพันธ์ของไทยนั้นยังมีแนวโน้มการเติบโตได้อีกมากมาย โดยเชื่อว่าจะสามารถขยายฐานลูกค้าได้เพิ่มมากกว่าโบรกเกอร์อื่นๆที่อาจจะซื้อขายได้เพียงสินค้าตัวเดียว อีกทั้งการมีโกลด์ฟิวเจอร์สขนาด 10 บาทเข้ามา ทำให้บล.โกลเบล็กที่มีบริษัทแม่คือ บมจ.โกลเบล็ก โฮลดิ้งฯ ที่เป็นผู้นำเข้าส่งออกทองคำแท่งอยู่แล้ว สามารถให้บริการกับลูกค้าที่สนใจลงทุนในทองคำแท่งและโกลด์ฟิวเจอร์สได้อย่างครบวงจร
โดยในปี 2553 ทางโกลเบล็กมีแผนที่จะเพิ่มช่องทางการให้บริการลูกค้าให้หลากหลาย ทั้งผ่านช่องทางเจ้าหน้าที่การตลาดที่มีความรู้ในทุกสินค้าอนุพันธ์อย่างแท้จริง ผ่านช่องทางมือถือ เว็บไซด์ การสัมมนาและสื่ออื่นๆ ซึ่งจะเน้นที่ผลประโยชน์สูงสุดของนักลงทุนเป็นหลัก พร้อมทั้งจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆและโปรโมชั่นมากมายเพื่อให้นักลงทุนได้เข้าถึงและเข้าใจในสินค้าอนุพันธ์ให้ได้หลากชนิดมากขึ้น
"ปีหน้า เราตั้งเป้าไว้ว่าจะมีลูกค้าเปิดบัญชีเข้ามาลงทุนกับเราเพิ่มขึ้นอีก 1,000 บัญชี ซึ่งจะทำให้ฐานลูกค้าของเราขยายขึ้นเป็น 1,900 – 2,000 บัญชี ส่วนมาร์เกตแชร์เราก็หวังจะเป็นที่หนึ่งในด้านนี้ จากปัจจุบันเราเป็นที่หนึ้งในส่วนของโกลด์ฟิวเจอร์สแล้ว อย่างไรก็ตามประเมินว่าการแข่งขันในตลาดTFEXจะสูงขึ้น ซึ่งในส่วนของเราก็ตั้งเป้าให้มาร์เกตแชร์ขยับขึ้น10%กว่า เหมือนตอนนี้ที่มาร์เกตแชร์ของเราตั้งแต่ตุลาคมที่ผ่านมาก็แตะ13.80%แล้ว และหน้าที่ต่อไปคือต้องรักษาส่วนแบ่งการตลาดตรงนี้ให้ได้"
สำหรับปี 2552 ที่ผ่านมาจนถึงวันที่ 16 ธันวาคมนั้น ทางโกลเบล็กมีปริมาณการซื้อขายสินค้าในตลาดอนุพันธ์ไปแล้ว 417,977 สัญญา หรือ 7.09% ของปริมาณทั้งตลาด จากส่วนแบ่งการตลาดที่ไม่ถึง 1% ในปี 2551 ซึ่งถือเป็นอันดับ 3 ในอุตสาหกรรม แต่หากพิจารณาไตรมาสสุดท้ายของปี 2552 นั้น โกลเบล็กมีส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในอุตสาหกรรมเลยทีเดียว ขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดโกลด์ฟิวเจอร์สของโกลเบล็กนั้นอยู่ที่ 16.95% ของทั้งตลาด โดยมีจำนวนสัญญาโกลด์ฟิวเจอร์สที่ซื้อขายไปแล้วทั้งหมด 95,969 สัญญา
"เรามีลูกค้าที่เปิดบัญชีในตลาดอนุพันธ์กว่า 900 บัญชี ในจำนวนมีมีลูกค้าที่ไม่ใช่นักลงทุนหุ้น เข้ามาเปิดบัญชีเพื่อลงทุนในโกลด์ฟิวเจอร์สกว่า 400 บัญชี และเป็นปัญชีที่มีการลงทุนต่อเนื่องกว่า 50%ของทั้งหมด ส่วนกรณีที่ราคาทองคำปรับตังลดลงมา ในาส่วนลูกค้าของเราเกือบทั้งหมดไม่ได้รับผลกระทบจากจุดนี้ เนื่องจากเราจะคอยดูและให้คำแนะนำกับลูกค้าโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเมื่อราคาถึงจุดตัดขาดทุน หรือแนวโน้มในการเก็งกำไร "