นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงความมั่นคงทางด้านการคลังของประเทศขณะนี้ว่า แต่ละปีรัฐมีภาระชำระดอกเบี้ยที่ 1.7 แสนล้านบาท โดย 7 หมื่นล้านบาทเป็นหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(เอฟไอดีเอฟ) ซึ่งถือเป็นความท้าทายหลักต่อภาคการคลังประเทศ หากไม่เร่งลดภาระในส่วนนี้ลงก็จะมีเม็ดเงินเพื่อลงทุนน้อยลง ส่วนจะเดินหน้าอย่างไร รมว.คลังและผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้พิจารณา
สำหรับภาระหนี้ต่อจีดีพีใน 2-3 ปีจากนี้เพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 58% ในปี 55 ซึ่งหลังจากนั้นกระทรวงการคลังจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณสมดุลเพื่อทยอยลดหนี้สาธารณะต่อไป
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ต้นปีหน้าสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จะหารือกับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เพื่อให้ประสานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหานี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินให้มีความชัดเจน เนื่องจากตั้งแต่ปี 2542 ที่รัฐบาลต้องรับภาระชำระดอกเบี้ยหนี้สินกองทุนฟื้นฟูฯ จนถึงปี 2552 หรือ 10 ปี รวมมูลค่าถึง 5 แสนล้านบาท แล้ว ซึ่งเป็นการชำระดอกเบี้ยจากการออกพันธบัตรชดเชยความเสียหายของสถาบันการเงินในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ขณะที่ธปท. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต้องชำระเงินต้นได้ชำระเงินต้นไปเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นหรือลดลงปีละ 2% เท่านั้น จากเงินต้นรวม 1.4 ล้านล้านบาท ปัจจุบันเหลือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท
ในช่วงปีแรกๆ ภาระดอกเบี้ยต่อปีที่กระทรวงการคลังต้องชำระจะอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท แต่จนปัจจุบันภาระดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นจากเงินต้นที่แทบจะไม่ลดลงมาอยู่ที่ปีละ 7 หมื่นล้านบาทต่อปี หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปโดยที่ ธปท.ไม่ยอมชำระเงินต้นเพื่อลดภาระดอกเบี้ยหนี้กองทุนฟื้นฟูฯลงบ้าง จะมีเม็ดเงินที่สร้างภาระทางการคลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากภาระดอกเบี้ยโดยรวมต่อปี กระทรวงการคลังต้องชำระที่ 1.7 แสนล้านบาท หากสามารถลดเงินต้นหนี้กองทุนฟื้นฟูได้บ้างจะสามารถนำเม็ดเงินที่เหลือจากภาระดอกเบี้ยไปพัฒนาประเทศได้มากขึ้น ซึ่งภาระการจ่ายหนี้สินของกองทุนฟื้นฟูฯนั้นมีระยะเวลาประมาณ 20 ปี
อีกทั้ง ในปัจจุบัน ธปท.เองก็บริหารกองทุนเงินสำรองจนอยู่ที่ระดับสูงกว่าแสนล้านบาทแล้ว จึงควรจะมีแนวทางหรือแสดงความรับผิดชอบลดภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ลงได้บ้าง
สำหรับภาระหนี้ต่อจีดีพีใน 2-3 ปีจากนี้เพิ่มขึ้นสูงสุดที่ 58% ในปี 55 ซึ่งหลังจากนั้นกระทรวงการคลังจำเป็นต้องจัดทำงบประมาณสมดุลเพื่อทยอยลดหนี้สาธารณะต่อไป
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ต้นปีหน้าสำนักบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จะหารือกับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เพื่อให้ประสานไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้พิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหานี้สินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินให้มีความชัดเจน เนื่องจากตั้งแต่ปี 2542 ที่รัฐบาลต้องรับภาระชำระดอกเบี้ยหนี้สินกองทุนฟื้นฟูฯ จนถึงปี 2552 หรือ 10 ปี รวมมูลค่าถึง 5 แสนล้านบาท แล้ว ซึ่งเป็นการชำระดอกเบี้ยจากการออกพันธบัตรชดเชยความเสียหายของสถาบันการเงินในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ขณะที่ธปท. ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบต้องชำระเงินต้นได้ชำระเงินต้นไปเพียงจำนวนเล็กน้อยเท่านั้นหรือลดลงปีละ 2% เท่านั้น จากเงินต้นรวม 1.4 ล้านล้านบาท ปัจจุบันเหลือประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท
ในช่วงปีแรกๆ ภาระดอกเบี้ยต่อปีที่กระทรวงการคลังต้องชำระจะอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท แต่จนปัจจุบันภาระดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นจากเงินต้นที่แทบจะไม่ลดลงมาอยู่ที่ปีละ 7 หมื่นล้านบาทต่อปี หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปโดยที่ ธปท.ไม่ยอมชำระเงินต้นเพื่อลดภาระดอกเบี้ยหนี้กองทุนฟื้นฟูฯลงบ้าง จะมีเม็ดเงินที่สร้างภาระทางการคลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากภาระดอกเบี้ยโดยรวมต่อปี กระทรวงการคลังต้องชำระที่ 1.7 แสนล้านบาท หากสามารถลดเงินต้นหนี้กองทุนฟื้นฟูได้บ้างจะสามารถนำเม็ดเงินที่เหลือจากภาระดอกเบี้ยไปพัฒนาประเทศได้มากขึ้น ซึ่งภาระการจ่ายหนี้สินของกองทุนฟื้นฟูฯนั้นมีระยะเวลาประมาณ 20 ปี
อีกทั้ง ในปัจจุบัน ธปท.เองก็บริหารกองทุนเงินสำรองจนอยู่ที่ระดับสูงกว่าแสนล้านบาทแล้ว จึงควรจะมีแนวทางหรือแสดงความรับผิดชอบลดภาระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ลงได้บ้าง
