ASTVผู้จัดการรายวัน-แก๊งไอ้หมูสกปรก วางระเบิดประทัด หวังชิงตัวนักโทษ ขณะนำตัวขึ้นศาลจังหวัดตลิ่งชัน แต่หนีไม่รอดถูกผู้คุมรวบตัวไว้ทัน ศาลชี้ เหตุเกิดเพราะรถไม่ส่งผู้ต้องขังยังจุดที่กำหนด ถือเป็นเหตุอุกอาจ เจอโทษหนัก เรือนจำสอบเค้น "หมูสกปรก"หาเบาะแสคนร้าย เผยหัวโจกโดนคดีลักทรัพย์กว่า 20 คดี ต้องโทษหนักจึงวางแผนหนี
วานนี้(21 ธ.ค.)เวลา 08.30 น.พ.ต.ท.สอาด ดัดธุยะวัตร์ พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.ตลิ่งชัน รับแจ้งเหตุคนร้ายปาระเบิดพยายามชิงตัวผู้ต้องหาแก๊งลักทรัพย์ตู้เซฟหลายร้อยล้านบาท ที่นำตัวมาขึ้นศาลจากเรือนจำคลองเปรม จำนวน 5 คน บริเวณหน้าทางเข้าศาลจังหวัดตลิ่งชัน ถนนเลียบทางรถไฟตลิ่งชัน แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กทม.
ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณประตูด้านหน้าทางเข้า เจ้าหน้าที่พบวัตถุทรงสี่เหลี่ยมขนาดความยาว 10 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร ห่อหุ้มด้วยถุงเท้ามีเทปกาวสีดำพันมิดชิด มีสายชนวนยื่นออกมาจำนวน 2 ลูก ถูกทิ้งไว้ข้างรถควบคุมผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษธนบุรี หมายเลขทะเบียน 41-3505 กทม.ห่างกันประมาณ 1 เมตร พบวัตถุคล้ายระเบิดบรรจุด้วยกล่องสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องนมพันเทปกาวสีดำ มีการต่อสายไฟ จำนวน 1 ลูก จึงนำเอายางรถยนต์มาครอบเพื่อป้องกันอันตราย และจากการเข้าตรวจสอบพบวัตถุคล้ายระเบิดทั้งหมดเป็นปะทัดสามเหลี่ยมแบบกระจับ จำนวน 2 ลูก ขณะที่วัตถุคล้ายระเบิดที่บรรจุอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องนมนั้น เป็นหลอดยาดมบรรจุอยู่ภายใน จำนวน 2 หลอด จึงส่งมอบให้พนักงานสอบสวนเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมา นายภัทรศักดิ์ ศิริสินธว์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดตลิ่งชัน เปิดแถลงข่าวว่า ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ที่มากับรถขังผู้ต้องหาเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หมายเลขทะเบียน 40-1558 นนทบุรี ประกอบด้วย 1.นางวรัญญาภรณ์ เตรียมธนวัชร์ อายุ 27 ปี 2.น.ส.วลัยลักษณ์ ศรีประไพ อายุ 27 ปี 3.นายสุภัทร หรือทอม เนินวิเชียร อายุ 29 ปี 4.นายณัฐ หรือโต้ง ชาหอม อายุ 30 ปี และ 5.นายพีรวัตร หรือพี ตะวันธรงค์ อายุ 23 ปี ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาคดีร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน และร่วมกันรับของโจร แก๊งเดียวกับ นายหทัย หรืออ๊อฟ ไชยวัณณ์ อายุ 38 ปี นักแข่งรถชื่อดังเจ้าของฉายา “ไอ้หมูสกปรก”ที่ก่อเหตุตระเวนลักทรัพย์ตู้เซฟของผู้เสียหาย ซึ่งศาลนัดพิจารณาคดี ในคดีหมายเลขดำที่ อ.9014/2552 โดยเหตุแห่งคดีเกิดขึ้นช่วงเดือน ก.ค.50 - พ.ค.52 ท้องที่ สน.ธรรมศาลา มีมูลค่าความเสียหายกว่า 2,428,000 บาท
นายภัทรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการก่อเหตุในครั้งนี้มีผู้ร่วมวางแผนการกันจำนวน 3 คน คือ นายณัฐ หรือโต้ง ชาหอม อายุ 30 ปี นายสุภัทร หรือทอม เนินวิเชียร อายุ 29 ปี และ นายชัชวาลย์ โง้วกิมเซ้ง อายุ 26 ปี ชาว จ.ลำพูน ซึ่งเป็นอดีตผู้ต้องขังคดีฉ้อโกง รพ.ยันฮี ที่ได้รับการประกันตัวออกไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและทั้ง 3 รายก็เข้าไปทำความรู้จักกันในเรือนจำ โดยจำเลยทั้ง 2 คน เห็นว่า มีคดีลักทรัพย์ติดตัวอยู่กว่า 20 คดี และมีอัตราโทษสูง โดยจำเลยได้ยื่นขอประกันตัวต่อศาลมาแล้วหลายครั้งแต่ศาลไม่อนุญาตเนื่องจากมีคดีติดตัวจำนวนมาก จึงรวมหัวกับนายชัชวาลย์ เพื่อวางแผนกับหลบหนีการควบคุม
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเช้า ศาลทำการตรวจสอบแล้วพบว่า ที่ผ่านมา นายสุภัทร กับนายณัฐ เดินทางมาที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ถึง 3 ครั้งแล้ว ทำให้รู้ว่ารถขังผู้ต้องหาจะต้องวิ่งผ่านจากถนนเข้าไปจอดในช่องหน้าห้องควบคุมชั้นล่าง แต่กรณีที่เกิดขึ้นพบว่า รถของเรือนจำพิเศษกรุงเทพจอดอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าก่อนนำตัวผู้ต้องขังลงจากรถโดยไม่ได้นำรถเข้ามาจอดในช่องตามระเบียบปฏิบัติ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบอ้างว่า จะต้องไปส่งจำเลยที่ศาลอีกหลายแห่งจึงจอดรถไว้หน้าประตู
นายภัทรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ช่วงเวลาที่เกิดเหตุผู้ต้องขังที่เดินลงมาจากรถคนแรก ก็คือ นายพีรวัตร ตามด้วย นายณัฐเป็นคนที่สอง และนายสุภัทรเป็นคนที่สาม ซึ่งก่อนหน้านี้ นายณัฐและ นายสุภัทรได้ร่วมกันวางแผนกับนายชัชวาลย์ ตั้งแต่วันจันทร์ ที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา จนกระทั่งวางแผนสรุปเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันศุกร์ที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมาแล้วว่า นายชัชวาลย์ จะเป็นผู้ประกอบระเบิดนำไปซุกไว้ให้บนช่องระบายอากาศหลังคารถขนผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเดินผ่านรถดังกล่าวได้อย่างง่ายดายเพราะรถถูกนำไปจอดไว้หน้าเรือนจำ จากนั้นนายชัชวาลย์ยังนัดหมายด้วยว่าจะนำรถเก๋งสีเขียวเข้มมาจอดรับหน้าศาลจังหวัดตลิ่งชัน หากช่วยเหลือนายณัฐและนายสุภัทรได้สำเร็จแล้วก็จะพาขับรถไปกบดานที่ จ.ชลบุรี ก่อน แล้วจึงจะพาหลบหนีเข้าประเทศกัมพูชาต่อไป
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นความละเลยของเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพหรือไม่ นายภัทรศักดิ์ตอบว่า เรื่องนี้ทางศาลไม่ขออกความคิดเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รายใดรู้เห็นกับกลุ่มผู้ต้องขังหรือไม่ แต่หากเจ้าหน้าที่ขับรถเข้ามาส่งผู้ต้องขังยังจุดจอดรถตามกฎที่กำหนด เหตุการณ์ทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ต้องบอกว่าเสี่ยงมาก เพราะตำรวจตรวจพบอาวุธปืนขนาด .38 พร้อมเครื่องกระสุนถึง 10 นัดในรถเก๋งคันที่นายชัชวาลย์ จอดทิ้งไว้ก่อนหลบหนี หากนายชัชวาลย์ ใช้ปืนดังกล่าวยิงใส่เจ้าหน้าที่ก็ต้องมีผู้เสียชีวิตอย่างแน่นอน
“อย่างไรก็ตาม การชิงตัวผู้ต้องขังในศาลนั้นถือเป็นเรื่องอุกอาจมาก สำหรับจำเลยทั้ง 2 คน คือ นายณัฐ และนายสุภัทร จะถูกแจ้งข้อหาละเมิดอำนาจศาล มีโทษจำคุก 6 เดือน และหลบหนีการคุมขัง มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนนายชัชวาลย์นั้นจะถูกแจ้งข้อหากระทำการใดๆ ให้ผู้ถูกคุมขังหลบหนี มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 14,000 บาท แต่ศาลยังต้องดูด้วยว่า กรณีนี้จะเข้าข่ายร่วมกันครอบครองอาวุธปืนด้วยหรือไม่ และกำลังรอการพิจารณาอยู่ด้วยว่า เรือนจำพิเศษกรุงเทพ หรือเรือนจำพิเศษธนบุรี จะเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไป” นายภัทรศักดิ์กล่าว
ด้าน นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตรวจสอบข้อมูลการเข้าเยี่ยมของกลุ่มญาติผู้ต้องหา และตรวจสอบเทปจากกล้องวงจรปิดเพื่อพิสูจน์ว่า รถยนต์คันดังกล่าวที่นายชัชวาล ใช้เป็นยานพาหนะในการนำผู้ต้องหาหลบหนีเคยเข้า-ออกที่เรือนจำหรือไม่ นอกจากนี้จะให้มีการตรวจสอบเรื่องระเบิดปลอมที่นำไปใช้ในการก่อเหตุว่าผู้ต้องขังนำมาจากที่ไหน หรือใครเป็นผู้จัดหาและส่งเข้ามาให้ในเรือนจำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุบุกชิงตัวนักโทษ เรือนจำได้สั่งแยกขัง นายณัฐและ นายสุภัทร หลังจากที่ผ่านมาเรือนจำไม่ได้เข้มงวดการคุมขังผู้ต้องขังในคดีลักทรัพย์ เนื่องจากมีจำนวนมาก ประกอบกับที่ผ่านมาผู้ต้องขังที่มักจะหลบหนีระหว่างการนำตัวไปศาล เป็นผู้ต้องหาคดียาเสพติดและลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเพียงการวิ่งหนีทั้งโซ่ตรวน แต่ผู้คุมสามารถวิ่งตามจับกุมตัวกลับมาได้
นอกจากนั้น มีรายงานเปิดเผยด้วยว่า ในส่วนของนายหทัย หรืออ๊อฟ ไชยวัณณ์ เจ้าของฉายา “ไอ้หมูสกปรก”ในวันเดียวกันไม่ได้ถูกเบิกตัวออกไปศาลเพราะไม่ใช่ผู้ต้องหาในคดีของศาลจังหวัดตลิ่งชัน โดยนายหทัย ปฏิเสธว่า ไม่ทราบเรื่องการวางแผนชิงตัวผู้ต้องขัง และไม่เคยมีความคิดจะหลบหนี เพราะถูกดำเนินคดีลักทรัพย์เพียงคดีเดียว เกี่ยวข้องกับแก๊งเพียงแค่เป็นตัวกลางในการเจรจาขอไกล่เกลี่ยคดีกับตำรวจ
ทั้งนี้ นายหทัย ต้องโทษจำคุกแค่ 2 ปี ต่างจากนายณัฐ ซึ่งต้องโทษหนักกว่า และยังถูกอายัดตัวในคดีลักทรัพย์กว่า 20 คดี อีกทั้งนายณัฐ ยังมีฐานะทางการเงินดี และสนิทสนมกับนายชัชวาล มาก่อน
วานนี้(21 ธ.ค.)เวลา 08.30 น.พ.ต.ท.สอาด ดัดธุยะวัตร์ พนักงานสอบสวน (สบ 2) สน.ตลิ่งชัน รับแจ้งเหตุคนร้ายปาระเบิดพยายามชิงตัวผู้ต้องหาแก๊งลักทรัพย์ตู้เซฟหลายร้อยล้านบาท ที่นำตัวมาขึ้นศาลจากเรือนจำคลองเปรม จำนวน 5 คน บริเวณหน้าทางเข้าศาลจังหวัดตลิ่งชัน ถนนเลียบทางรถไฟตลิ่งชัน แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน กทม.
ที่เกิดเหตุอยู่บริเวณประตูด้านหน้าทางเข้า เจ้าหน้าที่พบวัตถุทรงสี่เหลี่ยมขนาดความยาว 10 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร ห่อหุ้มด้วยถุงเท้ามีเทปกาวสีดำพันมิดชิด มีสายชนวนยื่นออกมาจำนวน 2 ลูก ถูกทิ้งไว้ข้างรถควบคุมผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษธนบุรี หมายเลขทะเบียน 41-3505 กทม.ห่างกันประมาณ 1 เมตร พบวัตถุคล้ายระเบิดบรรจุด้วยกล่องสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องนมพันเทปกาวสีดำ มีการต่อสายไฟ จำนวน 1 ลูก จึงนำเอายางรถยนต์มาครอบเพื่อป้องกันอันตราย และจากการเข้าตรวจสอบพบวัตถุคล้ายระเบิดทั้งหมดเป็นปะทัดสามเหลี่ยมแบบกระจับ จำนวน 2 ลูก ขณะที่วัตถุคล้ายระเบิดที่บรรจุอยู่ในกล่องสี่เหลี่ยมคล้ายกล่องนมนั้น เป็นหลอดยาดมบรรจุอยู่ภายใน จำนวน 2 หลอด จึงส่งมอบให้พนักงานสอบสวนเก็บไว้เป็นหลักฐาน
ต่อมา นายภัทรศักดิ์ ศิริสินธว์ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลจังหวัดตลิ่งชัน เปิดแถลงข่าวว่า ผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ที่มากับรถขังผู้ต้องหาเรือนจำพิเศษกรุงเทพ หมายเลขทะเบียน 40-1558 นนทบุรี ประกอบด้วย 1.นางวรัญญาภรณ์ เตรียมธนวัชร์ อายุ 27 ปี 2.น.ส.วลัยลักษณ์ ศรีประไพ อายุ 27 ปี 3.นายสุภัทร หรือทอม เนินวิเชียร อายุ 29 ปี 4.นายณัฐ หรือโต้ง ชาหอม อายุ 30 ปี และ 5.นายพีรวัตร หรือพี ตะวันธรงค์ อายุ 23 ปี ทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาคดีร่วมกันลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน และร่วมกันรับของโจร แก๊งเดียวกับ นายหทัย หรืออ๊อฟ ไชยวัณณ์ อายุ 38 ปี นักแข่งรถชื่อดังเจ้าของฉายา “ไอ้หมูสกปรก”ที่ก่อเหตุตระเวนลักทรัพย์ตู้เซฟของผู้เสียหาย ซึ่งศาลนัดพิจารณาคดี ในคดีหมายเลขดำที่ อ.9014/2552 โดยเหตุแห่งคดีเกิดขึ้นช่วงเดือน ก.ค.50 - พ.ค.52 ท้องที่ สน.ธรรมศาลา มีมูลค่าความเสียหายกว่า 2,428,000 บาท
นายภัทรศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการก่อเหตุในครั้งนี้มีผู้ร่วมวางแผนการกันจำนวน 3 คน คือ นายณัฐ หรือโต้ง ชาหอม อายุ 30 ปี นายสุภัทร หรือทอม เนินวิเชียร อายุ 29 ปี และ นายชัชวาลย์ โง้วกิมเซ้ง อายุ 26 ปี ชาว จ.ลำพูน ซึ่งเป็นอดีตผู้ต้องขังคดีฉ้อโกง รพ.ยันฮี ที่ได้รับการประกันตัวออกไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและทั้ง 3 รายก็เข้าไปทำความรู้จักกันในเรือนจำ โดยจำเลยทั้ง 2 คน เห็นว่า มีคดีลักทรัพย์ติดตัวอยู่กว่า 20 คดี และมีอัตราโทษสูง โดยจำเลยได้ยื่นขอประกันตัวต่อศาลมาแล้วหลายครั้งแต่ศาลไม่อนุญาตเนื่องจากมีคดีติดตัวจำนวนมาก จึงรวมหัวกับนายชัชวาลย์ เพื่อวางแผนกับหลบหนีการควบคุม
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นช่วงเช้า ศาลทำการตรวจสอบแล้วพบว่า ที่ผ่านมา นายสุภัทร กับนายณัฐ เดินทางมาที่ศาลจังหวัดตลิ่งชัน ถึง 3 ครั้งแล้ว ทำให้รู้ว่ารถขังผู้ต้องหาจะต้องวิ่งผ่านจากถนนเข้าไปจอดในช่องหน้าห้องควบคุมชั้นล่าง แต่กรณีที่เกิดขึ้นพบว่า รถของเรือนจำพิเศษกรุงเทพจอดอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าก่อนนำตัวผู้ต้องขังลงจากรถโดยไม่ได้นำรถเข้ามาจอดในช่องตามระเบียบปฏิบัติ ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบอ้างว่า จะต้องไปส่งจำเลยที่ศาลอีกหลายแห่งจึงจอดรถไว้หน้าประตู
นายภัทรศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า ช่วงเวลาที่เกิดเหตุผู้ต้องขังที่เดินลงมาจากรถคนแรก ก็คือ นายพีรวัตร ตามด้วย นายณัฐเป็นคนที่สอง และนายสุภัทรเป็นคนที่สาม ซึ่งก่อนหน้านี้ นายณัฐและ นายสุภัทรได้ร่วมกันวางแผนกับนายชัชวาลย์ ตั้งแต่วันจันทร์ ที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา จนกระทั่งวางแผนสรุปเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อวันศุกร์ที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมาแล้วว่า นายชัชวาลย์ จะเป็นผู้ประกอบระเบิดนำไปซุกไว้ให้บนช่องระบายอากาศหลังคารถขนผู้ต้องขังเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถเดินผ่านรถดังกล่าวได้อย่างง่ายดายเพราะรถถูกนำไปจอดไว้หน้าเรือนจำ จากนั้นนายชัชวาลย์ยังนัดหมายด้วยว่าจะนำรถเก๋งสีเขียวเข้มมาจอดรับหน้าศาลจังหวัดตลิ่งชัน หากช่วยเหลือนายณัฐและนายสุภัทรได้สำเร็จแล้วก็จะพาขับรถไปกบดานที่ จ.ชลบุรี ก่อน แล้วจึงจะพาหลบหนีเข้าประเทศกัมพูชาต่อไป
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า เรื่องที่เกิดขึ้นถือเป็นความละเลยของเจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพหรือไม่ นายภัทรศักดิ์ตอบว่า เรื่องนี้ทางศาลไม่ขออกความคิดเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์รายใดรู้เห็นกับกลุ่มผู้ต้องขังหรือไม่ แต่หากเจ้าหน้าที่ขับรถเข้ามาส่งผู้ต้องขังยังจุดจอดรถตามกฎที่กำหนด เหตุการณ์ทั้งหมดก็จะไม่เกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ต้องบอกว่าเสี่ยงมาก เพราะตำรวจตรวจพบอาวุธปืนขนาด .38 พร้อมเครื่องกระสุนถึง 10 นัดในรถเก๋งคันที่นายชัชวาลย์ จอดทิ้งไว้ก่อนหลบหนี หากนายชัชวาลย์ ใช้ปืนดังกล่าวยิงใส่เจ้าหน้าที่ก็ต้องมีผู้เสียชีวิตอย่างแน่นอน
“อย่างไรก็ตาม การชิงตัวผู้ต้องขังในศาลนั้นถือเป็นเรื่องอุกอาจมาก สำหรับจำเลยทั้ง 2 คน คือ นายณัฐ และนายสุภัทร จะถูกแจ้งข้อหาละเมิดอำนาจศาล มีโทษจำคุก 6 เดือน และหลบหนีการคุมขัง มีโทษจำคุก 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนนายชัชวาลย์นั้นจะถูกแจ้งข้อหากระทำการใดๆ ให้ผู้ถูกคุมขังหลบหนี มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับไม่เกิน 14,000 บาท แต่ศาลยังต้องดูด้วยว่า กรณีนี้จะเข้าข่ายร่วมกันครอบครองอาวุธปืนด้วยหรือไม่ และกำลังรอการพิจารณาอยู่ด้วยว่า เรือนจำพิเศษกรุงเทพ หรือเรือนจำพิเศษธนบุรี จะเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อไป” นายภัทรศักดิ์กล่าว
ด้าน นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตรวจสอบข้อมูลการเข้าเยี่ยมของกลุ่มญาติผู้ต้องหา และตรวจสอบเทปจากกล้องวงจรปิดเพื่อพิสูจน์ว่า รถยนต์คันดังกล่าวที่นายชัชวาล ใช้เป็นยานพาหนะในการนำผู้ต้องหาหลบหนีเคยเข้า-ออกที่เรือนจำหรือไม่ นอกจากนี้จะให้มีการตรวจสอบเรื่องระเบิดปลอมที่นำไปใช้ในการก่อเหตุว่าผู้ต้องขังนำมาจากที่ไหน หรือใครเป็นผู้จัดหาและส่งเข้ามาให้ในเรือนจำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเกิดเหตุบุกชิงตัวนักโทษ เรือนจำได้สั่งแยกขัง นายณัฐและ นายสุภัทร หลังจากที่ผ่านมาเรือนจำไม่ได้เข้มงวดการคุมขังผู้ต้องขังในคดีลักทรัพย์ เนื่องจากมีจำนวนมาก ประกอบกับที่ผ่านมาผู้ต้องขังที่มักจะหลบหนีระหว่างการนำตัวไปศาล เป็นผู้ต้องหาคดียาเสพติดและลักทรัพย์ ซึ่งเป็นเพียงการวิ่งหนีทั้งโซ่ตรวน แต่ผู้คุมสามารถวิ่งตามจับกุมตัวกลับมาได้
นอกจากนั้น มีรายงานเปิดเผยด้วยว่า ในส่วนของนายหทัย หรืออ๊อฟ ไชยวัณณ์ เจ้าของฉายา “ไอ้หมูสกปรก”ในวันเดียวกันไม่ได้ถูกเบิกตัวออกไปศาลเพราะไม่ใช่ผู้ต้องหาในคดีของศาลจังหวัดตลิ่งชัน โดยนายหทัย ปฏิเสธว่า ไม่ทราบเรื่องการวางแผนชิงตัวผู้ต้องขัง และไม่เคยมีความคิดจะหลบหนี เพราะถูกดำเนินคดีลักทรัพย์เพียงคดีเดียว เกี่ยวข้องกับแก๊งเพียงแค่เป็นตัวกลางในการเจรจาขอไกล่เกลี่ยคดีกับตำรวจ
ทั้งนี้ นายหทัย ต้องโทษจำคุกแค่ 2 ปี ต่างจากนายณัฐ ซึ่งต้องโทษหนักกว่า และยังถูกอายัดตัวในคดีลักทรัพย์กว่า 20 คดี อีกทั้งนายณัฐ ยังมีฐานะทางการเงินดี และสนิทสนมกับนายชัชวาล มาก่อน