ASTVผู้จัดการรายวัน- บีโอไอเปิดตัวเลขการลงทุนต่างชาติ 11 เดือนเข้ามาลงทุนในไทยพียง 1.9 แสนล้านบาทลดลงจากปีก่อนเกือบแสนล้านบาท ขณะที่กนอ.มองปัญหามาบตาพุด 3-4 เดือนได้ข้อยุติมีความชัดเจนจะทำให้ลงทุนปี 2553 กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
แหล่งข่าวจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) แจ้งว่า การยื่นขอรับส่งเสริมลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในเดือน มค.-พย. 52 มีจำนวนโครงการและปริมาณเงินลงทุนลดลงจากปีก่อนหน้าค่อนข้างมาก โดยในส่วนของจำนวนโครงการมีคำขอเข้ามาในช่วง 11 เดือนที่ 596 โครงการ ลดลง 24.3% ส่วนจำนวนเงินลงทุน อยู่ที่ 190,776 แสนล้านบาท ลดลง 34.3% หรือลดลงเกือบ 1 แสนล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 290,456แสนล้านบาท
ส่วนการขอรับการส่งเสริมลงทุนในภาพรวม 11 เดือนอยู่ที่ 3.93 แสนล้านบท คาดว่าอีก 1 เดือนที่เหลือจะทำให้ยอดขอรับการส่งเสริมบีโอไอทะลุเป้าหมายที่ที่ตั้งไว้ 4 แสนล้านบาท ทั้งนี้จำนวนเงินลงทุนของโครงการต่างชาติที่ยื่นขอส่งเสริมส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนขนาดเล็กไม่เกิน 100 ล้านบาท มีสัดส่วน 68.8% โครงการขนาด 100-999 ล้านบาท มีสัดส่วน 25.7% และโครงการขนาดเงินลงทุนตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนเพียง 5.5% ของโครงการต่างชาติที่ยื่นขอส่งเสริม โดยสาขาอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างชาติยื่นขอส่งเสริมและมีปริมาณเงินลงทุนสูงสุด คือ กิจการในสาขาบริการและสาธารณูปโภค
นายประสาน ตันประเสริฐ ประธานคณะกรรมการบริหารการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(บอร์ดกนอ.) กล่าวว่า หากคณะกรรมการ 4 ฝ่ายที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานมีความชัดเจนถึงกรอบการปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรค 2 รัฐธรรมนูญปี 2550 ภายใน 3-4 เดือนได้ความเชื่อมั่นนักลงทุนจะกลับมาเพิ่มมากขึ้นในปี 2553
“ ยังเชื่อปัญหามาบตาพุดจะไม่ทำให้นักลงทุนย้ายฐานหนีเพียงแต่อาจจะมีการลดกำลังการผลิตจากแผนเดิมที่วางไว้ได้ส่วนการลงทุนตรงจากต่างประเทศปี 2553 ก็อยู่ที่ความชัดเจนของปัญหามาบตาพุดเป็นสำคัญ”นายประสานกล่าว
ทั้งนี้ปี 2553 กนอ.คาดว่ายอดขายพื้นที่ในนิคมฯจะไม่ต่ำกว่า 2,000 ไร่ โดยไม่ได้รวมผลกระทบจากมาบตาพุด ขณะที่ปี 2552 คาดว่าจะขายได้รวมเพียง 1,400 ไร่ถือเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำที่ปี่ 2551 เฉลี่ยขายได้ 3,000 ไร่ อย่างไรก็ตาม กนอ. ยังคงวางแผนจะไปชี้แจงต่อนักลงทุนต่างประเทศหรือโรดโชว์ตามแผนงานเดิม
แหล่งข่าวจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) แจ้งว่า การยื่นขอรับส่งเสริมลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในเดือน มค.-พย. 52 มีจำนวนโครงการและปริมาณเงินลงทุนลดลงจากปีก่อนหน้าค่อนข้างมาก โดยในส่วนของจำนวนโครงการมีคำขอเข้ามาในช่วง 11 เดือนที่ 596 โครงการ ลดลง 24.3% ส่วนจำนวนเงินลงทุน อยู่ที่ 190,776 แสนล้านบาท ลดลง 34.3% หรือลดลงเกือบ 1 แสนล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ 290,456แสนล้านบาท
ส่วนการขอรับการส่งเสริมลงทุนในภาพรวม 11 เดือนอยู่ที่ 3.93 แสนล้านบท คาดว่าอีก 1 เดือนที่เหลือจะทำให้ยอดขอรับการส่งเสริมบีโอไอทะลุเป้าหมายที่ที่ตั้งไว้ 4 แสนล้านบาท ทั้งนี้จำนวนเงินลงทุนของโครงการต่างชาติที่ยื่นขอส่งเสริมส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนขนาดเล็กไม่เกิน 100 ล้านบาท มีสัดส่วน 68.8% โครงการขนาด 100-999 ล้านบาท มีสัดส่วน 25.7% และโครงการขนาดเงินลงทุนตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนเพียง 5.5% ของโครงการต่างชาติที่ยื่นขอส่งเสริม โดยสาขาอุตสาหกรรมที่นักลงทุนต่างชาติยื่นขอส่งเสริมและมีปริมาณเงินลงทุนสูงสุด คือ กิจการในสาขาบริการและสาธารณูปโภค
นายประสาน ตันประเสริฐ ประธานคณะกรรมการบริหารการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(บอร์ดกนอ.) กล่าวว่า หากคณะกรรมการ 4 ฝ่ายที่มีนายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธานมีความชัดเจนถึงกรอบการปฏิบัติตามมาตรา 67 วรรค 2 รัฐธรรมนูญปี 2550 ภายใน 3-4 เดือนได้ความเชื่อมั่นนักลงทุนจะกลับมาเพิ่มมากขึ้นในปี 2553
“ ยังเชื่อปัญหามาบตาพุดจะไม่ทำให้นักลงทุนย้ายฐานหนีเพียงแต่อาจจะมีการลดกำลังการผลิตจากแผนเดิมที่วางไว้ได้ส่วนการลงทุนตรงจากต่างประเทศปี 2553 ก็อยู่ที่ความชัดเจนของปัญหามาบตาพุดเป็นสำคัญ”นายประสานกล่าว
ทั้งนี้ปี 2553 กนอ.คาดว่ายอดขายพื้นที่ในนิคมฯจะไม่ต่ำกว่า 2,000 ไร่ โดยไม่ได้รวมผลกระทบจากมาบตาพุด ขณะที่ปี 2552 คาดว่าจะขายได้รวมเพียง 1,400 ไร่ถือเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำที่ปี่ 2551 เฉลี่ยขายได้ 3,000 ไร่ อย่างไรก็ตาม กนอ. ยังคงวางแผนจะไปชี้แจงต่อนักลงทุนต่างประเทศหรือโรดโชว์ตามแผนงานเดิม