xs
xsm
sm
md
lg

งานถนัดคือคุกคามศาลและป่วนบ้านเผาเมือง

เผยแพร่:   โดย: อุษณีย์ เอกอุษณีษ์

...อนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อผู้ร้องกล่าวหาผู้ถูกร้องว่า จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ มีข่าวที่ค่อยๆ เบี่ยงเบนประเด็นที่ผู้ถูกร้องถูกกล่าวหาทีละน้อยๆ และเป็นระยะๆ ว่า

ผู้ถูกร้องประกอบธุรกิจจนร่ำรวยด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่มีการทุจริตผิดกฎหมาย ผู้ถูกร้องเป็นคนแรกที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินให้ประชาชนทราบ ในขณะที่ยังไม่มีกฎหมายบังคับ ผู้ถูกร้องสมัครใจยื่นรายการทรัพย์สินและหนี้สินเพิ่มเติมเอง หากศาลเห็นว่า ผู้ถูกร้องกระทำผิด ก็เป็นการทำผิดโดยสุจริต ควรใช้หลักรัฐศาสตร์ชะลอการตัดสินคดี หรือยกโทษให้ผู้ถูกร้อง ไม่ควรลงโทษผู้ถูกร้องซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนสิบกว่าล้านคน เพื่อให้โอกาสผู้ถูกร้องบริหารประเทศต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะไม่มีใครดีกว่าผู้ถูกร้อง ประเทศไทยขาดผู้ถูกร้องไม่ได้ ซึ่งไม่มีบทบัญญัติให้ศาลกระทำได้

และเมื่อใกล้จะถึงวันที่ศาลลงมติ มีข่าวหนาหูขึ้นว่า ฝ่ายผู้สนับสนุนผู้ถูกร้องจะชุมนุมกันเพื่อกดดันศาล จะวางเพลิงเผาศาล ตลอดจนจะทำร้ายตุลาการบางคน จนกระทั่งมีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปให้ความคุ้มครอง ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินไปอย่างน่าเสียดาย เป็นต้น ข่าวต่างๆ ดังกล่าวมานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หากมิใช่ เป็นการแสดง “ความเห็นแก่ตัว” ของคน...

ผู้เขียนคัดมาจากคำวินิจฉัยของนายประเสริฐ นาสกุล ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่ 20/2544 วันที่ 3 สิงหาคม 2544 เรื่อง การจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295 (กรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตรองนายกรัฐมนตรี/ผู้ถูกร้อง) ซึ่งอาจจะถือได้ว่า เป็นคำพิพากษาที่ถูกนำมาอ้างอิงมากที่สุดฉบับหนึ่งของประเทศ และน่าแปลกว่า ทุกวรรคตอนของการวินิจฉัยของอดีตตุลาการผู้ล่วงลับท่านนี้ ใครได้อ่านล้วนต้องรู้สึกแบบเดียวกับผู้เขียน คือ “น่าขนลุก” เพราะมันเหมือนท่านมีตาทิพย์มองเห็นวิกฤตที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย ตลอด 8 ปีข้างหน้า ทั้งในช่วงที่เมืองไทยอยู่ในยุค “ทักษิณกินเมือง” หรือแม้แต่ในช่วงที่เราพยายามจะฝ่าข้ามไปสู่ยุคหลังทักษิณ (Post-Thaksin)

ตอนหนึ่งของคำวินิจฉัย อาจารย์ประเสริฐท่านสะท้อนทัศนะในการมอง พฤติกรรมดิบเถื่อน ถ่อยของระบอบทักษิณได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะพฤติกรรมของคนที่ชอบใช้อำนาจคุกคามศาล ซึ่งกลายเป็นหลักฐานว่า พฤติกรรมเยี่ยงนี้มีปรากฏตั้งแต่ พ.ศ. 2544 แล้ว

เอาแค่เฉพาะคดีแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญยุคที่มีอาจารย์ประเสริฐ นาสกุลเป็นประธานนั้น ในวันที่ศาลมีการพิพากษาคดีซุกหุ้นภาคแรก เจ้าหน้าที่ศาลถึงกับต้องมีการขอความช่วยเหลือจากตำรวจ และหน่วยความมั่นคง ให้นำกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชน มาร่วมอารักขาความปลอดภัยคณะผู้พิพากษา ถึงขนาดมีการติดตั้งเครื่องป้องกันการดักฟัง เพราะหวั่นว่าคำวินิจฉัยบางส่วนจะรั่วไหล ขณะที่ประธานศาล รธน. ก็ได้สั่งตุลาการทุกคนเร่งเขียนคำวินิจฉัยคดีซุกหุ้นส่วนตนให้เรียบร้อย โดยให้เหตุผลว่า ยิ่งปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป จะยิ่งมีการสร้างกระแสต่างๆ ออกมาทำลายความน่าเชื่อถือของศาลรัฐธรรมนูญ นั่นเป็นความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นกับกระบวนการศาลยุติธรรมไทยเป็นครั้งแรก อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ที่น่าสนใจกว่านั้น คือคดีซุกหุ้นภาคแรกได้ทำให้เกิดคดีความขึ้นมาอีกคดีคือ คดีหมิ่นประมาทที่ตุลาการเสียงข้างมากฟ้องหมิ่นคอลัมนิสต์ “แนวหน้า” นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นสิริ ซึ่งคดีนี้สู้กันมาหลายปี แม้ท่านประสงค์จะแพ้คดี แต่ถือว่าชนะในศักดิ์ศรีของนักหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นอีกบทบาทหนึ่งของท่านที่ช่วยเปิดตาให้สังคมรู้ถึงข้อพิรุธในที่มาของคะแนนเสียง 8 ต่อ 7 ที่ทำให้ทักษิณพ้นผิดคดีซุกหุ้น และยังทำให้ได้เห็นธาตุแท้ หรือเนื้อแท้ของบุคลากรในกระบวนการตุลาการหลายคน

หนึ่งในนั้นคือ นายจุมพล ณ สงขลาที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเองว่า “วันนั้นถ้าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินว่าทักษิณผิดป่านนี้คุณรู้ไหมจะเกิดอะไรขึ้น คุณเห็นพลังประชาชนที่มาให้กำลังใจนายกฯ ทักษิณวันมาชี้แจงต่อศาลรัฐธรรมนูญไหม ขนาดกล้านรงค์ จันทิก (เลขาธิการ ป.ป.ช.) ยังต้องหลบออกประตูหลังศาลรัฐธรรมนูญ ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไล่เขาออก ป่านนี้ศาลรัฐธรรมนูญถูกเผาไปตั้งแต่วันตัดสินคดีไปแล้ว”

หลังจากนั้น รูปแบบของการใช้วิถีทางใต้ดินและบนดินเพื่อข่มขู่คุกคามสถาบันตุลาการก็ถูกจุดชนวนให้ดำเนินต่อเนื่องมา

ทั้งรูปแบบการปาระเบิดขู่ข้าราชการฝ่ายตุลาการ ทั้งเหตุที่เกิดกับบ้านของนายอักขราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด ในซอยลาดพร้าว 25 เมื่อ 21 ตุลาคม 2551 และคล้อยหลังเพียงแค่ 1 สัปดาห์ กับอีก 1 วัน เหตุบึ้มขย่มขวัญตุลาการก็เกิดขึ้นซ้ำ กับบ้านพักของนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ในซอยปรีดีพนมยงค์ 45 ขณะที่ในส่วนขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบอย่าง สตง.หรือ ป.ป.ช. ก็เคยได้รับฝากผลงานจากมือป่วนใต้ดินของพวกชั่วมาแล้วทั้งสิ้น

อย่างกรณีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการ สตง.ในช่วงที่เป็น คตส.เดิมถูกขู่จะเผาสำนักงาน เพราะมือมืดหวังจะทำลายหลักฐานการตรวจสอบหลายคดีที่อยู่ในมือของคณะกรรมการชุดนี้ แต่สุดท้ายหวยก็ไปออกที่คนร้ายลอบวางเพลิงเผาบ้านที่กำลังก่อสร้างของคุณหญิงเป็ดแทน ขณะที่เหตุรุนแรงที่มือมืดฝากไว้เป็นกรณีล่าสุด ก็คือเหตุลอบยิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญในช่วงสงกรานต์เลือด ที่ทุกคดีมีบทสรุปเหมือนกันคือ จับมือใครดมไม่ได้เลย ...

วิธีการยืมมือสมาชิกสภานิติบัญญัติขู่จะเข้าชื่อถอดถอนศาล ทรชนพวกนี้ก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี อาทิ กรณีที่ 485 ส.ส.ไทยรักไทยขู่ล่าชื่อถอดถอนศาลปกครองหากสั่งให้การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549* เป็นโมฆะ ทั้งที่เป็นช่วงที่กองข่าว สำนักราชเลขาธิการเพิ่งจะเผยแพร่พระราชดำรัสในหลวงที่พระราชทานแก่ประธานศาลปกครองสูงสุดกับตุลาการศาลปกครองสูงสุด และประธานศาลฎีกากับผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรมก่อนเข้ารับตำแหน่ง โดยทรงมีพระราชดำรัส ตอนหนึ่งว่า “...การที่จะบอกว่ามีการยุบสภา และต้องเลือกตั้งภายใน 30 วันถูกต้องหรือไม่ ไม่พูดเลย ไม่พูดกันเลย ถ้าไม่ถูกก็จะต้องแก้ไข แต่ก็อาจจะให้การเลือกตั้งนี้เป็นโมฆะหรือเป็นอะไรซึ่งท่านจะมีสิทธิที่จะบอกว่า อะไรที่ควร ที่ไม่ควร...”

หรือแม้แต่กรณีที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็เคยให้สมาคมข้าราชการตำรวจฯตั้งโต๊ะล่ารายชื่อลูกน้องยุบ ป.ป.ช. เพราะป.ป.ช.เอาผิดลูกพี่ตัวเองคดี 7 ตุลาคมฯ

กรณีการคุกคามศาลครั้งที่เลวร้ายที่สุด น่าจะเป็นครั้งที่กลุ่มคนเสื้อแดงพากันเฮโลไปล้อมศาลรัฐธรรมนูญเมื่อธันวาคมปีที่แล้ว เพื่อดิ้นไม่ให้มีการยุบพรรค หลังเหตุการณ์ครั้งศาลรัฐธรรมนูญต้องพากันย้ายสถานที่อ่านคำพิพากษาไปที่ศาลปกครอง และทำให้นายวิชัย ชื่นชมพูนุท ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ได้นำความในใจเรื่องนี้ไป กล่าวระหว่างการเปิดการอภิปรายเรื่อง บทบาทใหม่ศาลปกครองไทย ถึงบทบาทของศาลปกครอง เมื่อวันที่ 16 ธ.ค 2551 ระบุว่า

“การยึดอำนาจศาล ว่า เป็นความเสียหายมากกว่าการยึดสนามบิน เพราะถ้าหากศาลถูกยึดอำนาจแล้ว จะตัดสินคดีต่างๆ ได้อย่างเที่ยงตรงได้อย่างไร และเป็นสิ่งที่เสียหายต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก ทั้งยังกล่าวอีกว่า การยึดให้ศาลไม่ให้ตัดสินคดีเป็นสิ่งที่ประเทศที่เจริญแล้ว มองว่า ไม่ควรทำ อย่างยิ่ง”

มาครั้งนี้ แค่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองท่านเตรียมจะอ่านคำสั่งยึดทรัพย์ พ่อแม้วในต้นปีนี้ ควันไฟเผาบ้านเผาเมืองก็เริ่มทำท่าจะจุดติดเพราะมือเสื้อแดงง่ายๆ อีกครั้งแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น