นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงโครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาลว่า โครงการนี้เป็นโครงการฝึกอบรมอาชีพ และสร้างงานให้แก่ผู้ว่างงน ผู้กำลังจะถูกเลิกจ้าง และนักศึกษาจบใหม่ ใช้งบประมาณถึง 14,000 ล้านบาท ทั้งระยะที่ 1 และระยะที่ 2 แต่การฝึกอบรม และพัฒนาอาชีพระยะที่หนึ่ง ที่ใช้เงินถึง 6,900 ล้านบาทนั้น ไม่ได้เพิ่มศักยภาพแรงงาน ผู้ว่างงาน ไม่สนับสนุนการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมในชุมชน
ทั้งนี้ คณะทำงานของพรรคเพื่อไทย พบว่ามีความไม่ชอบมาพากล และส่อไปในทางทุจริต เช่น ที่ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีการเข้ารับการอบรมแทนกัน แจ้งชื่อผู้อบรมไม่ตรงกับการเบิกจ่ายเงิน การประชาสัมพันธ์ไม่ทั่วถึง ไม่สะดวกในการเดินทาง ไปติดต่อลงทะเบียนไว้แต่ไม่ได้เรียน ไม่มีการสอนความรู้ใหม่ การกำหนดคุณสมบัติผู้เข้ารับการอบรมไม่ชัดเจน หลักสูตรที่ต้องการไม่มีเปิดให้ประชาชน เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเล่นพรรคเล่นพวก
นอกจากนี้ ที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จ.สิงห์บุรี มีการอบรมหลายหลักสูตร เช่น หลักสูตรการทำขนมไทย ด้านตัดเย็บเสื้อผ้า ด้านอาหารไทย ช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือ แต่ผู้อบรมกลับไม่มีความรู้พื้นฐานในด้านที่เข้ารับการฝึกอบรม ประชาชนหรือผู้ว่างงาน ไม่ประสงค์เข้ารับการอบรมในโครงการ การเขียนใบสมัครเข้าร่วมโครงการ ส่งข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้ารับการคัดเลือกโครงการ เลือกสาขาอาชีพ หรือเลือกหลักสูตรที่ต้องการฝึกอบรม แต่ผู้สมัครไม่ได้รับการฝึกในสาขาอาชีพที่เลือก แต่เอาหลักสูตรอื่นยัดเยียดให้
"งบประมาณการฝึกอบรมในระยะที่ 1 งบ 6,900 ล้านบาท ขณะนี้ใช้ไปเพียง 5,900 ล้านบาท สามารถส่งคืนรัฐได้ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบมหาศาลที่สูญเปล่า ได้ประโยชน์น้อย ไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชนที่เสียไป พรรคเพื่อไทยได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดและจะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในต้นปี 2553 เมื่อเปิดประชุมสภา" โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว
นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวถึงโครงการไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง ซึ่งเป็นนโยบายเพื่อสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ ว่า การระดมประชาชนมาร่วมร้องเพลงชาติในช่วง 6 โมงเย็นของทุกวันจนถึงวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.นั้น เป็นการประจานผลงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง กับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แก้ไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คัน และสิ้นเปลืองงบประมาณ ท้องถิ่นต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการเกณฑ์คนมาสร้างภาพความสมานฉันท์แบบปลายเหตุ เพื่อสนองความต้องการของนายอภิสิทธิ์ ทั้งๆ ที่งบประมาณท้องถิ่นมีจำกัดอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีการใช้งบประมาณไปเพียง 13 ล้านบาทนั้น คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยพบว่า มีการใช้งบประมาณแฝง ผลักภาระให้ท้องถิ่นทั่วประเทศเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท เหมือนกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ สร้างภาพแบบผักชีโรยหน้าแก้ปัญหารายวัน
ทั้งนี้ คณะทำงานของพรรคเพื่อไทย พบว่ามีความไม่ชอบมาพากล และส่อไปในทางทุจริต เช่น ที่ อ.สรรคบุรี จ.ชัยนาท มีการเข้ารับการอบรมแทนกัน แจ้งชื่อผู้อบรมไม่ตรงกับการเบิกจ่ายเงิน การประชาสัมพันธ์ไม่ทั่วถึง ไม่สะดวกในการเดินทาง ไปติดต่อลงทะเบียนไว้แต่ไม่ได้เรียน ไม่มีการสอนความรู้ใหม่ การกำหนดคุณสมบัติผู้เข้ารับการอบรมไม่ชัดเจน หลักสูตรที่ต้องการไม่มีเปิดให้ประชาชน เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเล่นพรรคเล่นพวก
นอกจากนี้ ที่ศูนย์พัฒนาฝีมือแรงงาน จ.สิงห์บุรี มีการอบรมหลายหลักสูตร เช่น หลักสูตรการทำขนมไทย ด้านตัดเย็บเสื้อผ้า ด้านอาหารไทย ช่างซ่อมโทรศัพท์มือถือ แต่ผู้อบรมกลับไม่มีความรู้พื้นฐานในด้านที่เข้ารับการฝึกอบรม ประชาชนหรือผู้ว่างงาน ไม่ประสงค์เข้ารับการอบรมในโครงการ การเขียนใบสมัครเข้าร่วมโครงการ ส่งข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ไปยังสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเข้ารับการคัดเลือกโครงการ เลือกสาขาอาชีพ หรือเลือกหลักสูตรที่ต้องการฝึกอบรม แต่ผู้สมัครไม่ได้รับการฝึกในสาขาอาชีพที่เลือก แต่เอาหลักสูตรอื่นยัดเยียดให้
"งบประมาณการฝึกอบรมในระยะที่ 1 งบ 6,900 ล้านบาท ขณะนี้ใช้ไปเพียง 5,900 ล้านบาท สามารถส่งคืนรัฐได้ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบมหาศาลที่สูญเปล่า ได้ประโยชน์น้อย ไม่คุ้มค่ากับเงินภาษีของประชาชนที่เสียไป พรรคเพื่อไทยได้รวบรวมหลักฐานทั้งหมดและจะนำไปอภิปรายไม่ไว้วางใจในต้นปี 2553 เมื่อเปิดประชุมสภา" โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว
นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวถึงโครงการไทยสามัคคี ไทยเข้มแข็ง ซึ่งเป็นนโยบายเพื่อสร้างความสมานฉันท์ของคนในชาติ ว่า การระดมประชาชนมาร่วมร้องเพลงชาติในช่วง 6 โมงเย็นของทุกวันจนถึงวันสุดท้ายเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.นั้น เป็นการประจานผลงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง กับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง แก้ไม่ถูกจุด เกาไม่ถูกที่คัน และสิ้นเปลืองงบประมาณ ท้องถิ่นต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการเกณฑ์คนมาสร้างภาพความสมานฉันท์แบบปลายเหตุ เพื่อสนองความต้องการของนายอภิสิทธิ์ ทั้งๆ ที่งบประมาณท้องถิ่นมีจำกัดอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ และนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า มีการใช้งบประมาณไปเพียง 13 ล้านบาทนั้น คณะทำงานของพรรคเพื่อไทยพบว่า มีการใช้งบประมาณแฝง ผลักภาระให้ท้องถิ่นทั่วประเทศเป็นจำนวนหลายร้อยล้านบาท เหมือนกับการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ สร้างภาพแบบผักชีโรยหน้าแก้ปัญหารายวัน