xs
xsm
sm
md
lg

ผู้นำที่ประเสริฐที่สุดในประวัติศาสตร์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เด็ดดอกไม้รายทาง
โดย...อัญชะลี ไพรีรัก

ข่าวว่าหนังสือ “ล้มเจ้า” ขายดิบขายดีจนขาดตลาดทำให้พี่น้องถามหากันเกลียวกราว พอๆกับที่ดูไบ และ บริวารเต้นเป็น “เจ้าเข้า” ฉุนขาดถึงกับจะฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล ส่วนจะเป็นศาลไหนไม่รู้ เพราะได้ยินมาว่า ไม่ชอบศาลไทย หาว่าสองมาตรฐานไม่น่าเชื่อถือ...รอดูกันต่อไป...ฟ้าแลบ ฟ้าผ่ามาก่อนฝนตกเสมอ

สัปดาห์นี้มีแต่เรื่องน่าชื่นใจตามประสาคนไทยรักในหลวง จะมีหงุดหงิดบ้างก็แต่พวกเสื้อแดงที่ยังท้าตีท้าต่อยไม่เลิก เห็นว่าล่าสุด อุตริคิดออกมาได้ว่าจะชุมนุมชั่วคราวไม่ค้างคืนในวันที่ 10 ธ.ค. ซึ่งตรงกับวันรัฐธรรมนูญ เพื่อเรียกหาประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญฉบับปี 40

ก่อนถึงวันฝีแตก...ฉวยโอกาสที่เหลือวันนี้ไปเดินทอดน่องดูเขาจัดแสดงไฟ แสง สี เสียง พลุหลากสี และน้ำตกมหัศจรรย์บนถนนราชดำเนินเพื่อเฉลิมพระเกียรติในหลวงกันดีกว่า

วันสำคัญปีนี้รัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาส “วันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2552” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ หรือ “ในหลวง” ของปวงชนชาวไทยได้งดงามยิ่งยวดอย่างน่าสรรเสริญ

ช่วงเวลา 9 คืนของสัปดาห์วันเฉลิมฯ กับกิจกรรมยิ่งใหญ่ตระการตาบนถนนราชดำเนินตลอดสาย และงานพระราชพิธีต่างๆ ถือได้ว่ารัฐบาลสอบผ่านกับการเป็นเจ้าภาพจัดงานสำคัญ - ยิ่งใหญ่สมพระเกียรติยศ - น่าชื่นชม

จะติก็เพียงแต่ตำแหน่งประธานการจัดงาน ที่ไม่รู้ว่าเหตุผลกลใด จึงต้องมอบหมายให้นายเนวิน ชิดชอบ มาเป็นหัวหน้าคณะกรรมการการจัดงาน...อันนี้รับไม่ได้ – ต้องขอโทษอย่าได้โกรธกัน

ระหว่างที่เดินดูโน่นดูนี่ด้วยความสำราญบานใจไปกับไฟวันเฉลิมฯ สังเกตได้ว่า ผู้คนมากมายที่เดินสวนกันขวักไขว่ไปมามักมีกล้องถ่ายรูปเป็นสำคัญ นัยเพื่อเก็บบันทึกภาพแห่งความทรงจำครั้งประวัติศาสตร์

นักเลงกล้องเหล่านี้ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ไฟวันเฉลิมปีนี้มีความหมายมากกว่าปีใดๆ มิใช่แค่ความสวยเลิศเลอราวสวรรค์ชั้นฟ้าดาวดึงส์เท่านั้น

หากแต่กิจกรรมทั้งหลายทั้งปวงซึ่งเกิดขึ้นในปีนี้ ยังหมายรวมไปถึง การร่วมแรงร่วมใจของพสกนิกร ที่จะแสดงออกซึ่งการถวายความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ ผู้ถูกยกย่องขนานพระนามแซ่ซ้องก้องไกรว่าเป็น “ภูมิพลมหาราชา”

และเวลานี้ “หัวใจ”ของไทยทั้งชาติ ยังประทับอยู่ภายใต้การดูแลใกล้ชิดของคณะแพทย์ ณ โรงพยาบาลศิริราช…ขอให้พระองค์ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงเถิด

ท่ามกลางไฟวันเฉลิม รู้สึกตื้นตันที่ได้คุยกับคนนั้นคนนี้เรื่อง “เรารักในหลวง” ด้วยความชื่นใจ คุยกันไปมาได้ได้สักพักก็หวนคิดถึง “เคลลี นิวตันเวิร์ดสเวิร์ท” ที่เจอกันครั้งแรกในคืนวันที่ 3 มิ.ย. 2551 บนเวทีพันธมิตรฯที่สะพานมัฆวานฯ

นักดนตรีหญิงที่มาจากเมืองเพิร์ท ออสเตรเลียคนนี้เป็นนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมพร้อมๆกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรในคราวเดียวกัน

คุณเคลลีมากับลูกสาวสวย มีกีตาร์คู่กายติดตัวมาด้วย เพื่อกล่อมบรรเลงเพลง “รักในหลวง” ที่บรรจงแต่งขึ้นมาเอง ให้คนไทยได้ชื่นชม

ก่อนและหลังเพลงจบคุณเคลลีพูดภาษาอังกฤษผ่านล่ามคือคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ให้พ่อแม่พี่น้องได้เข้าใจว่าทำไมเธอถึงเลือกแต่งเพลงเพื่อพระมหากษัตริย์ไทย ความว่า

“ฉันมาในคืนนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์ทางการเมือง แต่เพื่อขับขานบทเพลงให้กับพระเจ้าอยู่หัวฯของพวกคุณ ที่สำหรับฉันแล้วพระองค์เป็นผู้นำที่ประเสริฐที่สุดในประวัติศาสตร์ พระองค์เป็นผู้นำจิตใจของคนไทยทุกคน พระองค์รักพสกนิกร รักแผ่นดินไทย รักประเทศไทย ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากจริงๆในโลกใบนี้ ในหลวงของคนไทยจึงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์”

ศิลปินนักอนุรักษ์ธรรมชาติชาวออสเตรเลียผู้นี้ ชื่นชมในพระจริยวัตรของในหลวง และเข้าถึงการทรงงานของพระองค์มาโดยตลอด ค่ำนั้นเธอพูดกับทุกคนบนเวทีว่า

“ก่อนหน้านี้ฉันอาศัยอาสัยอยู่ในชนบทกับครอบครัวเกษตรกรแบบชีวภาพ และต่อมาเป็นนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมมาเกืยบ 20 ปีแล้ว ตลอดมาฉันรู้จักแต่เพียงว่าประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ แต่ไม่รู้เรื่องอะไรอื่นๆเกี่ยวกับพระองค์เลย จนกระทั่งเข้ามาเมืองไทยเมื่อไม่กี่ปีมานี้ เมื่อฉันเห็นและเรียนรู้เรื่องในหลวง ทำให้ฉันรู้ได้ว่า เป็นโชคดีอย่างมากที่มีมหาบุรุษเช่นนี้เกิดขึ้นในโลกใบนี้ เป็นเอกอัครมหาราชาที่ใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม การเกษตร และพสกนิกรของพระองค์มาอย่างต่อเนื่องถึง 60 ปี”

คุณเคลลี่เล่าว่า เธอได้ทำการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวในพระราชกรณียกิจของในหลวง หลังจากนั้นก็ถามไถ่จากผู้คนรอบด้านเกี่ยวกับความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อองค์พระมหากษัตริย์ จนเป็นที่มาของเพลง LONG LIVE THE KING และ เพลง Rainman

“หลายคนร้องไห้เมื่อพูดถึงพระเจ้าอยู่หัวฯ ฉันเองก็เป็น...เมื่ออ่านเจอเรื่องในหลวงจากหนังสือบนเครื่องบิน นาทีนั้นน้ำตาของฉันไหลโดยไม่รู้ตัว ฉันเองก็แปลกใจว่าทำไมถึงร้องไห้ไปกับเรื่องราวของพระองค์ เมื่อมาพิจารณาดูแล้วก็ได้ประจักษ์ใจว่า คำตอบทั้งหลายอยู่ในพระเนตร พระหทัย และ พระหัตถ์ของในหลวงนั่นเอง”

บทเพลงที่ขับขานเพื่อเทิดพระเกียรติในหลวงของเธอเป็นที่ชื่นชมของเพื่อนร่วมงานทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เมื่อมีเพื่อนชักนำเธอมารู้จักกับเวทีพันธมิตรฯ ที่มัฆวานฯ คุณเคลลี่จึงไม่รอช้าที่นำเพลงสรรเสริญพระบารมีในรูปแบบของเธอมาเสนอต่อคนไทยในระหว่างการชุมนุมของการเมืองภาคประชาชน

“เพราะฉันเห็นว่า ที่การชุมนุมแห่งนี้มีการรวมตัวของคนไทยรักในหลวงมากมาย ฉันจึงเดินมาหลังเวทีเพื่อขอขึ้นแสดงดนตรีด้วยตัวเอง เพื่อฝากบอกไปถึงชาวไทยทั้งหลายว่า ในสายตาคนต่างชาติอย่างเธอนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นยอดบุรุษที่หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้ และชาวไทยไม่ควรคลั่งไคล้กระแสตะวันตกมากจนเกินไป ควรดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล ด้วยน้ำพระทัยที่ล้นเปี่ยมต่อพสกนิกร พระองค์ไม่เพียงปกครองประเทศด้วยวาจาเท่านั้น แต่ทรงพระพฤติปฏิบัติพระองค์เป็นตัวอย่างให้ประชาชนเห็นมาโดยตลอดและต่อเนื่องกว่า 60 ปี”

นี่ไม่ใช่เพียงฝรั่งคนเดียวที่ชื่นชมพระจริยวัตรของในหลวง แต่มีชาวต่างชาติทั่วทั้งโลก มีสถาบันทางด้านวิชาการทุกแขนงมากมาย และ สถาบันการปกครองทุกแห่งหน ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า พระเจ้าอยู่หัวฯของปวงชนชาวไทยพระองค์นี้ ทรงเปี่ยมด้วยพระปรีชาสามารถทั้งศาสตร์และศิลป์ พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลกด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และ รักราษฏรของพระองค์ประหนึ่งบุตร-ธิดา

ความดีและความยิ่งใหญ่เกริกเกียรติก้องของพระเจ้าอยู่หัวฯรัชกาลที่ 9 ทำให้เหล่าราชวงศ์ทั่วโลกที่มาร่วมงานเฉลิมฉลองวโรกาส 60 ปีทรงครองราชย์ ต่างพร้อมใจกันแซ่ซ้องสรรเสริญว่า พระเจ้าอยู่หัวฯทรงเป็น “มิตรที่รักและพึงเคารพสูงสุด”

ส่วนสื่อยักษ์ใหญ่อย่างนิตยสารไทม์ แม๊กกาซีน ยกย่องพระเจ้าอยู่หัวในบทความโดดเด่นเมื่อปี 2549 ว่า ไม่มีกษัตริย์พระองค์ใดในโลกนี้ที่จะปฏิบัติองค์อย่างเรียบง่ายเฉกเช่นสามัญชนเช่นกษัตริย์พระองค์นี้อีกแล้ว “จึงไม่แปลกใจว่าทำไมพระองค์จึงเป็นที่รักของประชาชนเสมอมา”

ในเดือนมิถุนายน 2549 สื่อมวลชนทั่วโลกได้บันทึกอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ว่า คลื่นพสกนิกรชาวไทยในเสื้อสีเหลืองตราสัญลักษณ์ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ต่างเดินทางไปร่วมชื่นชมพระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ บนถนนราชดำเนิน หน้าพระที่นั่งอนันตสมาคมโดยพร้อมเพรียงกัน จนเกิดภาพ “ทะเลสีเหลือง”

ทะเลใจของปวงชนชาวไทยที่น้อมถวายให้องค์พระราชา พระผู้ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม พระเจ้าอยู่หัวฯที่เคยตรัสวาทะยิ่งใหญ่บนแดนสยามเพื่อตอบประชาชนคนหนึ่งที่กู่ตะโกนก้อง”พระเจ้าอยู่หัวอย่าทิ้งประชาชน” ท่ามกลางผู้คนมากมายในวาระ ส่งเสด็จกลับสวิสเซอร์แลนด์เพื่อการศึกษาเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2489ว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร”

ประดุจคำมั่นสัญญาใจ... สัญญาระหว่างเจ้า กับ ข้าฯ - ระหว่าง ฟ้า กับ ดิน เป็นคำมั่นซึ่งกันและกันของพระมหากษัตริย์ กับ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ เป็นสัญญาของในหลวงกับ ปวงชนที่นับวันก็ยิ่งผูกรัดเป็นเกลียวเหนียวแน่น จนยากที่ผู้ใดจะมาบั่นทอน หรือทำลายลงไปได้

เพราะสัญญานี้มิใช่แค่เพียงวาจา แต่เป็นสัญญาที่มาจาก “ใจ และ การกระทำ” จึงยิ่งยืนตราบนานเท่านานไม่มีวันเสื่ยมคลาย

วันนี้วันนี้...ชาวไทยทั่วหล้า จึงพากันน้อมถวายราชสดุดีในวันเดือนปีแห่งมหามงคลชัย

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ตราบนานเท่านาน นับหมื่นๆ ปี
กำลังโหลดความคิดเห็น