ASTVผู้จัดการรายวัน-น.ส.ชุติมา ตั้งมติธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายบัญชี-การเงิน บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ตั้งเป้าปี 53 รายได้เติบโตราว 25% มาที่ 3,000 ล้านบาท จากปี 52 ที่คาดว่าจะทำรายได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2,400 ล้านบาทเล็กน้อย โดยในช่วง 9 เดือนแรกมีรายได้แล้ว 1,900 ล้านบาท และในไตรมาส 4/52 จะมีการรับรู้รายได้จากยออดขายรอโอน(Backlog) 500-600 ล้านบาท จากที่มีทั้งหมด 800 ล้านบาท
โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับโครงการที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ ก็จะช่วยผลักดันรายได้ให้ปรับตัวสูงขึ้นตามที่วางไว้ ซึ่งใน 5 โครงการมีที่ดินรองรับแล้ว 3 โครงการ ส่วนอีก 2 โครงการอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน โดยจะเน้นโซนเหนือและโซนตะวันออก
อย่างไรก็ตาม แม้ในปีหน้าบางโครงการจะมีที่ดินอยู่แล้ว แต่ก็จำเป็นต้องหาซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อรองรับโครงการในอนาคต โดยบริษัทวางงบซื้อที่ดินในช่วงปี 53-54 ไว้ประมาณ 800 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีที่ดินในมืออยู่แล้วจำนวน 4,000 ไร่ สามารถรองรับการพัฒนาโครงการในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งที่ดินส่วนใหญ่กว่า 50-60% อยู่ในกรุงเทพฯ และอยู่ใน จ.อยุธยา ประมาณ 30% ที่เหลือกระจายอยู่หลายจังหวัด
น.ส.ชุติมา กล่าวว่า บริษัทจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าที่มีรูปแบบหลากหลายมากขึ้น โดยจะมีการพัฒนาโครงการในรูปแบบทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ จากเดิมที่เน้นที่บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ซึ่งจะช่วยให้บริษัทขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น ราคาต่อหน่วยของโครงการที่บริษัทพัฒนาก็จะกว้างขึ้นเป็น 2-6 ล้านบาท/ยูนิต จากเดิมอยู่ที่ 2-4 ล้านบาท/ยูนิต อีกทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากแนวราบที่ขณะนี้อยู่ในภาวะหดตัว
โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท เมื่อรวมกับโครงการที่บริษัทกำลังพัฒนาอยู่ ก็จะช่วยผลักดันรายได้ให้ปรับตัวสูงขึ้นตามที่วางไว้ ซึ่งใน 5 โครงการมีที่ดินรองรับแล้ว 3 โครงการ ส่วนอีก 2 โครงการอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดิน โดยจะเน้นโซนเหนือและโซนตะวันออก
อย่างไรก็ตาม แม้ในปีหน้าบางโครงการจะมีที่ดินอยู่แล้ว แต่ก็จำเป็นต้องหาซื้อที่ดินเพิ่มเติมเพื่อรองรับโครงการในอนาคต โดยบริษัทวางงบซื้อที่ดินในช่วงปี 53-54 ไว้ประมาณ 800 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีที่ดินในมืออยู่แล้วจำนวน 4,000 ไร่ สามารถรองรับการพัฒนาโครงการในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งที่ดินส่วนใหญ่กว่า 50-60% อยู่ในกรุงเทพฯ และอยู่ใน จ.อยุธยา ประมาณ 30% ที่เหลือกระจายอยู่หลายจังหวัด
น.ส.ชุติมา กล่าวว่า บริษัทจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าที่มีรูปแบบหลากหลายมากขึ้น โดยจะมีการพัฒนาโครงการในรูปแบบทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ จากเดิมที่เน้นที่บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ซึ่งจะช่วยให้บริษัทขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้น ราคาต่อหน่วยของโครงการที่บริษัทพัฒนาก็จะกว้างขึ้นเป็น 2-6 ล้านบาท/ยูนิต จากเดิมอยู่ที่ 2-4 ล้านบาท/ยูนิต อีกทั้งยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากแนวราบที่ขณะนี้อยู่ในภาวะหดตัว
