ASTV ผู้จัดการรายวัน - ตลาดหุ้นทั่วโลกทรุด หวั่นปัญหา “ดูไบ เวิลด์” ฟองสบู่แตก ลุกลามจนกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก ด้าน รมว.คลังยันไม่กระทบถึงเอเชีย-ไทย เป็นเรื่องที่เกิดมานานแล้ว ไม่ใช่เรื่องใหม่ ส่วนหอการค้าไทย มองไม่รุนแรง และไม่ต้องปรับแผนส่งออกใหม่ ขณะที่บริษัทข้ามชาติของไทยที่เข้าไปลงทุนในดูไบ ดาหน้าออกมาชี้แจงข่าวจ้าละหวั่น แม้ปากแข็งจะไม่มีผลกระทบ แต่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
สำนักข่าวรอยเตอร์และเอเอฟพีรายงานว่า พวกนักลงทุนต่างพากันล่าถอยออกจากสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงเมื่อวานนี้ (27) และพากันเทขายหุ้นกิจการธนาคารและบริษัทก่อสร้างในแถบเอเชีย ด้วยความหวาดผวาว่าการที่ดูไบประกาศหยุดพักการชำระหนี้ไป 6 เดือนในทางพฤตินัย จะกลายเป็นชนวนทำให้เกิดความปั่นป่วนผันผวนทางการเงินและวิกฤตสินเชื่อขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ตลาดหุ้นในเอเชียและยุโรปต่างถูกหลอกหลอนด้วยความระแวงสงสัยว่า มีธนาคารหรือบริษัทแห่งใดบ้างที่เกี่ยวข้องปล่อยกู้หรือพัวพันทางธุรกิจกับพวกบริษัทดูไบ ซึ่งเป็นผู้จัดทำโครงการสร้างเกาะรุปร่างพิศดารขึ้นในย่านอ่าวเปอร์เซีย, วางผังจัดสร้างย่านเมืองใหม่ในนครต่างๆ ตั้งแต่ปากีสถานไปจนถึงแอฟริกา, ตลอดจนรังสรรค์ดูไบให้กลายเป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาคที่กำลังส่งออกน้ำมันมากที่สุดในโลก
“สิ่งที่ผมกังใจมากที่สุดก็คือ เรื่องนี้จะถึงขึ้นจุดชนวนให้เกิดการปรับราคากันใหม่ในตลาดเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่โดยรวมเลยหรือเปล่า” อาร์เธอร์ เหลา ผู้จัดการกองทุนในฮ่องกง ที่ทำงานให้แก่ เจเอฟ แอสเส็ต แมเนจเมนต์ ตั้งข้อกังขา
ในเอเชียนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงหล่นฮวบ 4.84% ส่วนตลาดโซลก็ดำดิ่ง 4.69% นับเป็นการทรุดตัวหนักที่สุดในรอบปีนี้ของตลาดทั้งสอง โดยที่ฮ่องกงนั้นเนื่องจากนักลงทุนกังวลใจว่า เอชเอสบีซี และ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด 2 แบงก์ยักษ์ใหญ่สัญชาติอังกฤษที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นที่นี่ด้วย จะย่ำแย่จากการไปปล่อยกู้ให้ดูไบ ส่วนในโซล แม้นักลงทุนเชื่อว่าพวกแบงก์และบริษัทก่อสร้างของเกาหลีใต้ไปพัวพันกับดูไบไม่มากมายอะไรนัก แต่ก็หวั่นไหวอยู่ดีว่าภาคการเงินของแถบยุโรปจะมีปัญหาใหญ่
ขณะที่โตเกียวก็เซซวดลงไป 3.22% โดยที่ มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป กิจการธนาคารใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นติดลบ 2.20% และ สุมิโตโม มิตซุย แบงก์ยักษ์ใหญ่อีกรายหนึ่งร่วงลง 3.67% ทั้งนี้นักลงทุนนอกจากกังวลใจกับเรื่องผลกระทบที่จะแผ่ลามจากกรณีดูไบแล้ว ยังวิตกต่อการที่ค่าเงินเยนอยู่ในระดับสูงที่สุดในรอบ 14 ปีเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
ในยุโรป การซื้อขายช่วงบ่ายๆ เมื่อวานนี้ ตลาดลอนดอนกระเตื้องดีขึ้นบ้าง แม้ยังคงติดลบอยู่ 0.11% ส่วนตลาดแฟรงเฟิร์ตก็ลบ 0.15% และตลาดปารีส ยังติดลบ 0.10% กระเตื้องขึ้นหลังจากทรุดลงเกือบ 2% ในตอนแรกๆ หลังเปิดตลาด
การลดต่ำลงเมื่อวานนี้ เป็นการต่อเนื่องจากในวันพฤหัสบดี(26) ซึ่งตลาดหุ้นสำคัญๆ ของแถบยุโรปร่วงลงมากว่า 3%
ตลาดวอลล์สตรีทนั้นปิดทำการในวันพฤหัสบดี เนื่องจากเป็นวันขอบคุณพระเจ้าในสหรัฐฯ แต่จะเปิดการซื้อขายเป็นช่วงสั้นกว่าปกติในวันศุกร์ ซึ่งคาดกันว่าจะมีการเทขายกันหนักเช่นกัน
ด้านตลาดหุ้นไทย วานนี้ (27 พ.ย.) ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกัน โดยปิดการซื้อขายที่ 680.37 จุด ลดลงจากวันก่อน 5.36 จุด หรือคิดเป็น 0.78% มูลค่าการซื้อขายรวม 18,767.30 ล้านบาท
**หุ้น HSBC และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดถูกเทขายหนัก
ถึงแม้ทางการและพวกนักวิเคราะห์จะปลอบว่าไม่ควรหวั่นผวาเกินไปกับฐานะของ เอชเอสบีซี และ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด 2 แบงก์ยักษ์สัญชาติอังกฤษที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นฮ่องกงด้วย และมีการดำเนินงานอย่างใหญ่โตในตะวันออกกลาง แต่ราคาหุ้นของทั้ง 2 แบงก์ก็ไหลรูดอย่างยั้งไม่อยู่ โดยในฮ่องกงวานนี้ เอชเอสบีซีตกลงมา 7.6% ส่วน สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดไหลรูด 8.6%
จอห์น จาง มนตรีด้านการคลังของฮ่องกงบอกว่า โดยรวมแล้วระบบธนาคารของฮ่องกงมีการไปพัวพันปล่อยกู้ให้แก่ดูไบ เวิลด์ บริษัทโฮลดิ้งคอมปานีแห่งสำคัญที่สุดของรัฐดูไบ ที่ประกาศขอชะลอการชำระหนี้ไปจนถึงเดือนพฤษภาคมปีหน้า ตลอดจนให้แก่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ที่ดูไบเป็น 1 ใน 6 รัฐในสังกัด) ในจำนวนไม่ถึง 0.4% ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับดูไบ เวิลด์ จึงไม่ได้ทำให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบขึ้นในระบบการธนาคารของฮ่องกงเลย
ทางเอชเอสบีซี และ สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดเองนั้น ยังไม่ยอมแถลงออกมาให้ชัดเจนว่า ไปปล่อยกู้สร้างพันธะเอาไว้กับดูไบ เวิลด์ เป็นจำนวนเท่าใด ถึงแม้ตามข้อมูลของสมาคมธนาคารเอมิเรตส์ กิจการในตะวันออกกลางของเอชเอสบีซี คือผู้ปล่อยกู้ต่างชาติรายใหญ่ที่สุดในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยปล่อยกู้ให้ทั้งสิ้น 17,000 ล้านดอลลาร์ ณ ตอนสิ้นปีที่แล้ว สำหรับสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด อยู่ในอันดับสอง ปล่อยกู้ไป 7,800 ล้านดอลลาร์ และบาร์เคลย์ส แบงก์ ของอังกฤษ เป็นอันดับสาม 3,600 ล้านดอลลาร์
วาณิชธนกิจ โกลด์แมน แซคส์ ระบุในจดหมายข่าวส่งถึงลูกค้าว่า เอชเอสบีซี และสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด คงจะปล่อยกู้ให้แก่ดูไบ เวิลด์ ในปริมาณมากเป็นอันดับ 1 และ 2 ทำนองเดียวกับการให้กู้แก่ประเทศนี้โดยรวม แต่โกลด์แมนด แซคส์ ก็แสดงความเชื่อว่า ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ธนาคารใหญ่ 2 แห่งนี้จัดการรับมือได้
**ราคาทอง-น้ำมันหล่นฮวบ
จากกรณีดูไบขอพักชำระหนี้ ทำให้นักลงทุนผวาและพากันเทขายสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง จึงทำให้ทองคำและน้ำมัน ซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่เข้าข่ายดังกล่าว ถูกกระทบและราคาร่วงลงมาอย่างแรง
ทองคำนั้น ตลาดฮ่องกงวานนี้เปิดด้วยราคา 1,186.00 – 1,187.00 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และปิดที่ 1,145.00 – 1,146.00 ต่ำลงมามากจากวันพฤหัสบดี ซึ่งราคาทองคำพุ่งทะยานขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1,195.13 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ระหว่างการซื้อขายช่วงหนึ่งที่ลอนดอน
สำหรับน้ำมัน เมื่อถึงช่วงสายของลอนดอนวานนี้ สัญญาซื้อขายน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูด ของนิวยอร์ก เพื่อการส่งมอบเดือนมกราคม ดำดิ่งลงจากราคาปิดวันก่อน 3.70 ดอลลาร์ หรือร่วมๆ 5% มาอยู่ที่ 74.26 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนสัญญาซื้อขายน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ของลอนดอน ก็หล่นลง 1.45 ดอลลาร์ อยู่ที่ 75.54
**ขุนคลังยันไม่กระทบ ศก.ไทย
นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การที่รัฐบาลดูไบแจ้งกรณี Dubai World ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทของรัฐบาลขาดสภาพคล่องทางการเงินส่งผลให้ต้องมีการขอทำข้อตกลงเพื่อเลื่อนผ่อนชำระหนี้ให้กับสถาบันการเงินหลายแห่งไปอีก 6 เดือนวงเงินกว่า 6 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐนั้น ในเบื้องต้นยังไม่ได้มีการประเมินว่าจะส่งผลอย่างไรต่อผู้ส่งออกไทยบ้าง ซึ่งปัญหาดังกล่าวได้เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลานานพอสมควรแล้ว โดยที่รัฐบาลดูไบได้นำงบประมาณไปพัฒนาเมืองตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตปี 2540 แต่ทั้งนี้เชื่อว่าคงจะไม่มีกระทบต่อประเทศไทยรวมไปถึงภูมิภาคอื่น เพราะไม่ได้เป็นปัญหาเดียวกันกับวิกฤตที่เกี่ยวกับมูลค่าทรัพย์สิน
ปัจจุบันผู้ส่งออกไทยยังคงมีการส่งออกสินค้าไปในตลาดใหม่ที่ดีในประเทศแถบตะวันออกกลางอยู่พอสมควร โดยเฉพาะประเทศการ์ต้าที่มีการขยายตัวของเศรษฐกิจในเชิงบวก และไม่มีการก่อหนี้สูงเหมือนดูไบ ขณะเดียวกันเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยจะยังไม่เกิดภาวะฟองสบู่เหมือนที่ดูไบ
การจะเกิดภาวะดังกล่าวจะสะท้อนได้จาก 2 ประเด็นหลักคือ 1.ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ผ่านมายังไม่มีสัญญาณการเกิดภาวะฟองสบู่เลย แม้ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ไม่ได้ส่งผลต่อราคาบ้านและที่ดินสูงขึ้นจนผิดปกติ 2.ดัชนีฯตลาดหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้น 60% จากต้นปีที่ผ่านมาสอดคล้องกับผลประกอบการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งการปรับตัวเพิ่มขึ้นมีเหตุมีผลที่สามารถรองรับได้
**บิ๊กกสิกรฯ เชื่อไม่กระทบ
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า ปัญหาฟองสบู่แตกที่เกิดขึ้นกับดูไบจะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย เพราะปัญหาดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ และไม่มีสัญญาณมาถึงประเทศไทยแน่นอน ในส่วนธนาคารกสิกรไทยไม่ได้มีการเข้าไปลงทุนในดูไบ รวมทั้งปล่อยกู้ให้กับธุรกิจดูไบด้วย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วธนาคารกสิกรไทยจะเน้นปล่อยกู้ไปยังประเทศจีนและประเทศญี่ปุ่นมากกว่า ดังนั้นจึงมั่นใจว่าจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆเช่นกัน
"ฟองสบู่แตกที่ดูไบไม่มาถึงไทยแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของหุ้นหรือราคาอสังหาริมทรัพย์ และปัญหานี้มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ส่วนระบบธนาคารพาณิชย์ไทยนั้นเชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบด้วย เพราะปัจจุบันนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์อยู่แล้ว ดังนั้นในส่วนของเรื่องสภาพคล่องก็ไม่น่าที่จะมีปัญหาแต่อย่างใด" นายบัณฑูรกล่าว
**ไม่ถึงขึ้นปรับแผนส่งออก
นายดุสิต นนทะนาคร ประธานหอการค้าไทย กล่าวว่า สถานการณ์ฟองสบู่แตกในดูไบ คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่เบื้องต้นประเมินว่าคงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกบ้าง แต่ไม่มาก เพราะบางประเทศในตลาดตะวันออกกลาง เศรษฐกิจยังมีความแข็งแรงอยู่ ไม่ได้เกิดขึ้นทั้งภูมิภาค ซึ่งการเกิดวิกฤติในดูไบ ไทยสามารถใช้เป็นบทเรียน เพราะอะไรที่โตเร็วเกินไป พอถึงจุดหนึ่งก็อาจเกิดปัญหาได้ ดังนั้นการพัฒนาเศรษฐกิจจึงควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่เข้มแข็งดีกว่า
นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลกระทบที่เกิดขึ้นคงกระทบแค่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ยังไม่กระทบกับภาคธุรกิจอื่น รวมถึงภาคการส่งออกของไทยไปตลาดตะวันออกกลาง เพราะสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังตลาดแห่งนี้เป็นสินค้าจำเป็น เช่น อาหาร และกลุ่มยานยนต์ จึงไม่มีความจำเป็นต้องปรับแผนส่งออกของไทย เพียงแต่ต้องระมัดระวังประเทศที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเร็วเกินไปให้มากขึ้น
**ส่งออกดูไบกระทบบ้าง
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล กรรมการรองเลขาธิการหอการค้าไทย กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นน่าจะส่งผลกระทบอยู่ในวงจำกัด แต่ก็อาจกระทบต่อกำลังซื้อ กำลังผู้บริโภคในตลาดดูไบให้ลดลง ดังนั้นภาคการส่งออก และการลงทุนของไทยที่พึ่งพาตลาดนี้ ก็จะได้รับผลกระทบบ้าง
“เชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในดูไบจะใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี เพราะดูไบไม่มีอุตสาหกรรมการผลิต พลังงานเป็นของตัวเอง รายได้ส่วนใหญ่มาจากการเป็นเมืองท่า ซึ่งพึ่งพาเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจโลกเพิ่งฟื้นตัวก็จะกระทบตามไปด้วย” นายพรศิลป์ กล่าว
**NWR ยันโครงการจบแล้ว
นายวัชรพัธ วัชราภัย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผน กลยุทธ์ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR หนึ่งในบริษัทก่อสร้างที่เข้าไปลงทุนในดูไบ กล่าวว่า รัฐบาลดูไบขอเลื่อนการชำระหนี้ไม่น่าจะกระทบต่อบริษัทมากนัก แม้จะยังมีบริษัทร่วมทุนเปิดทำการอยู่ที่นั่น แต่งานก่อสร้างเก่าได้เสร็จสิ้นแร้ว และยังไม่ได้รับงานเพิ่ม ขณะที่มีลูกหนี้ค้างชำระอยู่ส่วนหนึ่ง
“บริษัทไม่กังวลเรื่องที่เกิดขึ้นกับดูไบในตอนนี้ หรือหากในอนาคตจะส่งผลกระทบไปยังเมืองอื่นๆ ที่อยู่ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) เพราะการทำธุรกิจแล้วชอบกังวล ก็ไม่ต้องทำอะไร อีกอย่างการไปเปิดบริษัทที่นั่น ก็มีค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
**ไมเนอร์ฯ ลุ้นวิกฤตคลี่คลาย
น.ส.ประภารัตน์ ตังควัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เชื่อว่า เรื่องดังกล่าวไม่น่าจะผลกระทบต่อแผนงานที่บริษัทจะรับบริหารโรงแรมใหม่ของบริษัท นาคีล จำกัด ขนาด 300 ห้อง 1 แห่งในดูไบในปี 2555 เนื่องจากระยะเวลายังอีกนาน กว่าจะถึงจุดนั้นปัญหาต่างๆ น่าจะคลี่คลายไปแล้ว แต่บริษัทจะติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง
บริษัท นาคีล เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หมู่เกาะเป็นรูปต้นปาล์มที่มีชื่อเสียงของดูไบ และเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในดูไบ ในเครือดูไบ เวิลด์ ที่กำลังประสบปัญหาในการชำระคืนหนี้ 3.5 พันล้านดอลลาร์ ที่กำลังจะครบกำหนดในเดือนธันวาคม 2552 นี้ จากหนี้สิ้นที่มีทั้งหมด 5.9 หมื่นล้านดอลลาร์
“หากประเมินในแง่เลวร้ายสุดในการบริหารโรงแรมดังกล่าว แต่ก็เป็นแค่ 1 ในอีกกว่า 11 โรงแรมในประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่บริษัทมีแผนจะเข้ารับบริหารงาน หลังจากที่ได้มีการเซ็นสัญญาไปแล้ว จึงไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อบริษัทมากนัก”
**"เบ็ค-โอเวน" ส่อสูญ 50 ล้าน
ด้านหนังสือพิมพ์ "เดลี เมล์" และ "เดอะ" แห่งประเทศอังกฤษ ออกมาเปิดเผยรายงานว่า ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบมายังเหล่าดาวดังทั้งในวงการบันเทิงและฟุตบอลที่ไปซื้อบ้านตากอากาศสุดหรูดังกล่าว โดยมี เดวิด เบ็คแฮม กองกลางจอมปั่นฟรีคิกของ ลอสแองเจลิส กาแล็กซี, ไมเคิล โอเวน ศูนย์หน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, โจ โคล มิดฟิลด์เชลซี, เดวิด เจมส์ นายทวารปอร์ทสมัธ และคีรอน ดายเออร์ ดาวเตะเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่ลงทุนไปคนละประมาณ 1.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 56 ล้านบาท)
ขณะที่ "เดอะ ซัน" ระบุว่า แบรด พิตต์ และ แองเจลินา โจลี คู่สามีภรรยาระดับดาราฮอลลีวูดก็อาจตกเป็นเหยื่อของการลงทุนที่สูญเปล่าครั้งนี้เช่นกัน หลังจากเข้ามาจับจองบ้านในโครงการดังกล่าวเอาไว้