ASTVผู้จัดการรายวัน – ชิเซโด้ สยายปีกผุดเคาน์เตอร์แบรนด์ใหม่ “ชิเซโด โตเกียว” ทั่วโลก หวังสานต่อนโยบายแบรนด์เอเชียสู่ตลาดโลก มัดใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ เท 3 ล้านบาท ประเดิมเปิดเคาน์เตอร์ในไทยแห่งที่ 2 ของโลก ลั่นปีหน้าปั้นแบรนด์ใหม่ลุยตลาดแมสทีจ สิ้นปีนี้โต 8%
นายทัตสึโอะ ซึโด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิเซโด้ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางชิเซโด้ เปิดเผยว่า จากนโยบายของบริษัทในฐานะตัวแทนจากเอเชีย ต้องการก้าวสู่ผู้เล่นในตลาดโลก (Global player) จึงได้ดำเนินการตลาดเชิงรุก ด้วยการเปิดตัวเคาน์เตอร์แบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “ชิเซโด้ โตเกียว เคาน์เตอร์”
ในคอนเซปต์นำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยไม่มีจำหน่ายเคาน์เตอร์แบรนด์ และเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นมาจำหน่าย เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ เด็กนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงาน หรือเรียกว่า เจแปน มาเนีย ผู้ที่หลงใหลความเป็นญี่ปุ่น แตกต่างจาก เคาน์เตอร์โกลเบิ้ล เมอร์เชียลไดส์ซิ่ง ที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ใหญ่ โดยบริษัทจะทยอยเปิดตัวโตเกียวเคาน์เตอร์ 73 ประเทศทั่วโลก
“การเปิดตัวชิเซโด้ โตเกียว เคาน์เตอร์ เพื่อรองรับกับการแข่งขันตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ที่มีความรุนแรง ดังนั้นเราจึงต้องสร้างความแตกต่างและโดดเด่น ขณะเดียวกันยังขยายฐานลูกค้าและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ และประการสำคัญสู่เป้าหมายจากแบรนด์เอเชียสู่ตลาดโลก”
ล่าสุดได้ทุ่มงบ 3 ล้านบาท เปิดตัวชิเซโด้ โตเกียว เคาน์เตอร์ ในประเทศไทยโดยเป็นแห่งที่ 2 ของโลก ต่อจากประเทศไต้หวัน ซึ่งเปิดดำเนินการมากว่า 10 ปี ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ปัจจุบันมีด้วยกันกว่า 20 สาขา นำร่องเปิดตัวเคาน์เตอร์แห่งแรกที่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว ในรูปแบบแฟลกชิพ สโตร์ โดยจำหน่ายสินค้า 2 รายการ คือ ผลิตภัณฑ์ปรนนิบัติผิว”ชิเซโด้ อีลิคซี ซูพรีเรีย”และผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใส”ลาโน รีดิวซ์ อีเอ็กซ์” ราคาเริ่มต้น 1,100-4,700 บาท ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนสินค้าอย่างรวดเร็วมากกว่าเคาน์เตอร์รูปแบบเดิม
ด้านการตลาด เน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อนิตยสาร หนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ เพื่อสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจัดโปรโมชั่น ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์แนะนำผลิตภัณฑ์เข้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งหากชิเซโด้ โตเกียว เคาน์เตอร์ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในอนาคตวางแผนขยายสาขาเพิ่ม จากปัจจุบันเคาน์เตอร์โกลเบิ้ล เมอร์เชียลไดส์ซิ่ง มีด้วยกัน 80 สาขา อย่างไรก็ตามจากการเปิดตัวเคาน์เตอร์ดังกล่าว ผลักดันให้ฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่เพิ่มจาก 50% เป็น 70% และกลุ่มผู้ใหญ่เหลือจาก 50% เป็น 30% ส่วนปีหน้านี้บริษัททุ่มงบการตลาด 25% ของรายได้ ใกล้เคียงกับปีนี้ โดยการทำตลาดชิเซโด้ มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวและผลิตภัณฑ์ชะลอริ้วรอย และเปิดตัวเครื่องสำอางคอลเลกชันใหม่อย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ได้นำเข้าแบรนด์แมสทีจใหม่ 1 แบรนด์มาทำตลาด จากเดิมมี 2 แบรนด์ คือ ซีเอ และมาจอลิกา มาจอร์กา จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจาก กลุ่มแมสทีจ 10% หลังจากทำตลาด 1 ปี และกลุ่มเพรสทีจ 90% ทั้งนี้การรุกตลาดแมสทีจ เนื่องจากพบว่า สภาพตลาดเคาน์เตอร์แบรนด์ระดับแมสทีจ มีแนวโน้มการเติบโตดี เนื่องจากคนหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ราคาถูกลงสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับตลาดเพรสทีจซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมในปีนี้เติบโตเพียง 5% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงครึ่งปีแรก แต่ขณะนี้สถานการณ์ตลาดเริ่มกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยพบว่ายอดซื้อต่อบิลเริ่มกลับคืนมา จากปัจจุบัน 3,000-4,000 บาทต่อคนต่อบิล
สำหรับผลประกอบการสิ้นปีนี้มีอัตราการเติบโต 8% เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยชิเซโด้สร้างรายได้หลัก 70% และปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 15% จากตลาดเคาน์เตอร์แบรนด์ หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกยอดขายเติบโตเล็กน้อย เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 อย่างไรก็ตามจากทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้านี้ ธนาคารโลก คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไทยโต 3.5% ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย คาดว่าโต 3.3-.35% และกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัว ตลอดจนการดำเนินการตลาดเชิงรุกผลักดันให้ผลประกอบการปีหน้าของบริษัทเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก
นายทัตสึโอะ ซึโด กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิเซโด้ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางชิเซโด้ เปิดเผยว่า จากนโยบายของบริษัทในฐานะตัวแทนจากเอเชีย ต้องการก้าวสู่ผู้เล่นในตลาดโลก (Global player) จึงได้ดำเนินการตลาดเชิงรุก ด้วยการเปิดตัวเคาน์เตอร์แบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “ชิเซโด้ โตเกียว เคาน์เตอร์”
ในคอนเซปต์นำเข้าผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยไม่มีจำหน่ายเคาน์เตอร์แบรนด์ และเป็นที่นิยมในประเทศญี่ปุ่นมาจำหน่าย เพื่อขยายฐานกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ เด็กนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงาน หรือเรียกว่า เจแปน มาเนีย ผู้ที่หลงใหลความเป็นญี่ปุ่น แตกต่างจาก เคาน์เตอร์โกลเบิ้ล เมอร์เชียลไดส์ซิ่ง ที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ใหญ่ โดยบริษัทจะทยอยเปิดตัวโตเกียวเคาน์เตอร์ 73 ประเทศทั่วโลก
“การเปิดตัวชิเซโด้ โตเกียว เคาน์เตอร์ เพื่อรองรับกับการแข่งขันตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์ที่มีความรุนแรง ดังนั้นเราจึงต้องสร้างความแตกต่างและโดดเด่น ขณะเดียวกันยังขยายฐานลูกค้าและสร้างความภักดีต่อแบรนด์ และประการสำคัญสู่เป้าหมายจากแบรนด์เอเชียสู่ตลาดโลก”
ล่าสุดได้ทุ่มงบ 3 ล้านบาท เปิดตัวชิเซโด้ โตเกียว เคาน์เตอร์ ในประเทศไทยโดยเป็นแห่งที่ 2 ของโลก ต่อจากประเทศไต้หวัน ซึ่งเปิดดำเนินการมากว่า 10 ปี ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ปัจจุบันมีด้วยกันกว่า 20 สาขา นำร่องเปิดตัวเคาน์เตอร์แห่งแรกที่ เซ็นทรัล ลาดพร้าว ในรูปแบบแฟลกชิพ สโตร์ โดยจำหน่ายสินค้า 2 รายการ คือ ผลิตภัณฑ์ปรนนิบัติผิว”ชิเซโด้ อีลิคซี ซูพรีเรีย”และผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใส”ลาโน รีดิวซ์ อีเอ็กซ์” ราคาเริ่มต้น 1,100-4,700 บาท ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนสินค้าอย่างรวดเร็วมากกว่าเคาน์เตอร์รูปแบบเดิม
ด้านการตลาด เน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อนิตยสาร หนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ เพื่อสร้างการรับรู้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจัดโปรโมชั่น ควบคู่กับการใช้กลยุทธ์แนะนำผลิตภัณฑ์เข้ากลุ่มเป้าหมาย ซึ่งหากชิเซโด้ โตเกียว เคาน์เตอร์ ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในอนาคตวางแผนขยายสาขาเพิ่ม จากปัจจุบันเคาน์เตอร์โกลเบิ้ล เมอร์เชียลไดส์ซิ่ง มีด้วยกัน 80 สาขา อย่างไรก็ตามจากการเปิดตัวเคาน์เตอร์ดังกล่าว ผลักดันให้ฐานลูกค้าคนรุ่นใหม่เพิ่มจาก 50% เป็น 70% และกลุ่มผู้ใหญ่เหลือจาก 50% เป็น 30% ส่วนปีหน้านี้บริษัททุ่มงบการตลาด 25% ของรายได้ ใกล้เคียงกับปีนี้ โดยการทำตลาดชิเซโด้ มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์เพื่อผิวขาวและผลิตภัณฑ์ชะลอริ้วรอย และเปิดตัวเครื่องสำอางคอลเลกชันใหม่อย่างต่อเนื่อง
พร้อมกันนี้ได้นำเข้าแบรนด์แมสทีจใหม่ 1 แบรนด์มาทำตลาด จากเดิมมี 2 แบรนด์ คือ ซีเอ และมาจอลิกา มาจอร์กา จากปัจจุบันสัดส่วนรายได้มาจาก กลุ่มแมสทีจ 10% หลังจากทำตลาด 1 ปี และกลุ่มเพรสทีจ 90% ทั้งนี้การรุกตลาดแมสทีจ เนื่องจากพบว่า สภาพตลาดเคาน์เตอร์แบรนด์ระดับแมสทีจ มีแนวโน้มการเติบโตดี เนื่องจากคนหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ราคาถูกลงสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับตลาดเพรสทีจซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมในปีนี้เติบโตเพียง 5% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วงครึ่งปีแรก แต่ขณะนี้สถานการณ์ตลาดเริ่มกลับมาดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยพบว่ายอดซื้อต่อบิลเริ่มกลับคืนมา จากปัจจุบัน 3,000-4,000 บาทต่อคนต่อบิล
สำหรับผลประกอบการสิ้นปีนี้มีอัตราการเติบโต 8% เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยชิเซโด้สร้างรายได้หลัก 70% และปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 15% จากตลาดเคาน์เตอร์แบรนด์ หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกยอดขายเติบโตเล็กน้อย เพราะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 อย่างไรก็ตามจากทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้านี้ ธนาคารโลก คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศไทยโต 3.5% ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย คาดว่าโต 3.3-.35% และกำลังการซื้อของผู้บริโภคที่เริ่มฟื้นตัว ตลอดจนการดำเนินการตลาดเชิงรุกผลักดันให้ผลประกอบการปีหน้าของบริษัทเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก