ได้รับฟังข่าว พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ท่านบริภาษผู้ใต้บังคับบัญชาเรื่องระเบิดที่ก่อกวนจนชาวพันธมิตรฯ ที่ชุมนุมโดยสงบที่ท้องสนามหลวงเมื่อวันก่อนแล้วผมรู้สึกอยู่ 2-3 อย่าง
อย่างแรกในตอนแรกก็สะใจที่นายตำรวจท่านนี้พูดตรงและท่านเอาจริงที่ท่านเห็นว่าลูกน้องไม่ได้ทำตามคำสั่ง แต่นั่นยังไม่เท่ากับที่ไม่มีตำรวจอยู่ในจุดที่เป็นจุดล่อแหลมแม้แต่คนเดียว ทั้งยังไม่รู้ว่าไปไหนด้วย
เท่านั้นไม่พอ เวลาที่ท่านไปดูที่เกิดเหตุพบว่ามีคนบ้ามาอาละวาด และกำลังโดนประชาทัณฑ์เพราะเกิดความเข้าใจผิดนั้น ท่านพยายามไปแยก ท่านเห็นตำรวจร่วม 30 คน ดูอยู่ห่างๆ ไม่ได้เข้ามาช่วยท่าน
เห็นๆ อยู่ว่าอาการที่ท่านบริภาษครั้งนี้ เรียกว่า “เบรกแตก” ก็คงไม่ผิด
ความจริงการชุมนุมของพันธมิตรฯ มักโดนก่อกวนและโดนทำร้ายทุกครั้ง ตำรวจเองก็รู้ ดังนั้นการที่ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ออกมาด่าทอก็ถูกละครับ เพราะใช้กำลังตำรวจกว่าพันคนนี่ครับ
ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นเกือบทุกอย่าง ขนาดการติดต่อสื่อสารซึ่งไม่น่าเกิดยังเป็นไปได้
ผมตั้งข้อสังเกตไว้ ณ ที่นี้ว่า การชุมนุมของพวกเสื้อแดง มันไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้
ทำไม?
ข้อสังเกต หลังมีการยิงเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมแบบเฉียดเวทีนั้น ได้มีการประเมินว่า แนวการยิงคงจะมาจากบริเวณหลังคลองหลอดเป็นการยิงโดยไม่เห็นเป้าใช้เล็งแบบ blind spot
เรื่องยิงนี้ตำรวจบอกทำได้ง่ายๆ ชาวบ้านร้านตลาดก็ยิงได้ ยิงจากพื้นดิน หรือจากตึกสูงก็ทำได้ แถมเครื่องยิงเอ็ม 79 นี้ ชาวบ้านซื้อหาได้ไม่ยาก ทั้งที่เป็นอาวุธสงครามก็เถอะ
แม้ตำรวจจะชี้ว่าการยิงครั้งนี้ ไม่แน่ใจว่าจะหมายเอาชีวิตหรือไม่ แต่ผมเห็นว่า คนร้ายนั้นต้องการยิงให้ตายอย่างแน่นอนเพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ใช้เอ็ม 79 ถ้าจะขู่ก็คงใช้ประทัดให้เกิดเสียงมากกว่าใช้อาวุธร้ายแรงแบบนี้
ส่วนจะจับมือคนยิงได้หรือไม่ ผมขอดักคอไว้เลยว่าคงจะไม่ได้
ทั้งๆ ที่รักษาการ ผบ.ตำรวจแห่งชาติยอมรับว่าจะมีเหตุร้ายก่อนการชุมนุมแล้ว แต่การที่หละหลวมจะไปว่าใครไม่ได้ มีการเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างรัดกุม
เพียงแต่เวลาปฏิบัติหน้าที่จริงๆ
ตำรวจของรัฐบาลกลับ “จงใจละเว้น” และไม่ใช่ที่รองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณออกมาให้สัมภาษณ์ว่าทางตำรวจได้ทำดีที่สุดแล้ว
คำพูดแบบนี้ไม่น่าหลุดออกมาเลย พับผ่าเถอะ เหมือนตดออกมาเปล่าๆ เพราะขนาดเจ้านายของตำรวจยังออกมาด่าพวกลูกน้องเลยครับ
ส่วนข่าวกรองมีการให้เบาะแสว่า ตัวบงการนั้นเป็นระดับ เสธ. คนดัง เพราะพวกเสื้อแดงที่อยู่ในที่ชุมนุมได้ข่าวก่อนและถูกสั่งให้ออกจากสนามหลวงก่อนเกิดเหตุ
เมื่อถึงเวลายิงระเบิดนั้น เป้าจริงๆ อยู่ที่กลางเวทีในจังหวะที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลกำลังอภิปรายพอดี เป็นการยิงเพื่อหวังฆ่าโดยแท้
พอเกิดเหตุ คุณสนธิ ครองสติไม่ได้ตกใจหรือหลบแต่อย่างใด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคนจำนวนมากก็จะสับสน อาจถึงเหยียบกันอุตลุดซึ่งจะบาดเจ็บสาหัสกว่านี้
คาดว่ากลุ่มที่ขี้ขลาดตาขาว อันธพาลอำมหิตขี้หมานี้มีแค่ 2 พวก ไม่หนี พล.อ. พ.ที่น่าจะลงมือได้ โดย พล.อ.พ. นี้เข้าไปอยู่ในพรรคการเมืองที่สนับสนุนทักษิณ เขาทำก็เพราะเห็นว่าการที่ทักษิณไปสวามิภักดิ์ฮุนเซนทำให้คะแนนตก ก็เลยกู้ชื่อด้วยการแว้งกัดพันธมิตรฯ โดยให้มีการ “เสียเลือด” บ้าง
อีกกลุ่มน่าจะเป็นพวกกเฬวราก และคงหิวเงินเป็นพวกรับจ้างมากกว่าเห็นแก่อุดมการณ์และเป็นพวกเสธ. ด. ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เผยแพร่ในเว็บไซต์ของตนว่า วันชุมนุมนั้นจะมีระเบิดแน่นอน
พวกจัญไรขี้ขลาดเหล่านี้รับจ้างทำมาหากินโดยไม่คำนึงถึงว่าการก่อกวนวันนี้ ใช่จะทำให้พันธมิตรฯ เสียขวัญ พันธมิตรฯ โดนมามากและโดนมาต่อเนื่อง แต่ทุกครั้งกลับเป็นว่าพันธมิตรฯ กลับได้รับการหนุนช่วย มีกำลังใจมากขึ้นและยืนหยัดต่อสู้ต่อไป
ดังนั้นจึงเป็นที่ควรสังวรให้พวกใจหมาได้รับรู้ว่าการกระทำครั้งนี้ ปราศจากความหมายใดๆ
พลังที่ทำไปด้วยความจงรักภักดีนั้นสอดคล้องกับความปรารถนาของคนไทยทั้งชาติ
ต่างจากคนใจหมาที่จงรักภักดีกับนายทักษิณที่คอยให้ข้าวให้น้ำหรือเศษอาหารเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น มันเทียบกันไม่ได้
และไม่ว่ามันจะจงรักภักดี ยอมเลียจนสุดขุมขนแค่ไหน
สักวันเมื่อทักษิณมันกลับมาใหญ่ มันก็จะถีบหัวส่งปล่อยให้คนใจหมานี้ หากินเป็นหมาข้างถนนหมดอนาคตต่อไป
จำไว้เถอะในประวัติศาสตร์นั้น ไม่มีใครเลี้ยงพวกที่ขายชาติไว้หรอก เพราะลองขายชาติได้แล้วละก้อ
สักวันหนึ่งมันก็ต้องขายนายของมันจนได้
ส่วนทักษิณนั้นหลังจากมากินข้าวกับฮุนเซนก็เปิดหนีกลับไปดูไบแล้ว เรียกว่ามามือเปล่า กลับไปมือเปล่า
สิ่งที่ทักษิณได้นั้น ฮุนเซนกลับเสีย
คือทักษิณได้เข้ามาบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เขมรส่วนฮุนเซนก็เสียความสัมพันธ์นี้ไปแบบ “รับคนเดียวเต็มๆ”
ปัญหาภายในของฮุนเซนก็ยังทำให้รัฐบาลเขาไม่มั่นคงเรียกว่าเคราะห์กรรมซ้ำเติม
เพราะเขาโดนนายสม รังสีประณามด้วยแถลงการณ์ว่า ทุกวันนี้ฮุนเซนเป็นแค่ “ลูกไล่” หรือ “ไข่ของเวียดนาม” เท่านั้น
การที่ฮุนเซนได้ให้ทักษิณเข้ามาอาละวาดกับไทยนั้น บัดนี้ความจริงก็ถูกเปิดเผยแล้วว่า เขาต้องการปกปิดความจริงที่ว่าเขมรนั้นถูกเวียดนามล้ำแดนทางภาคตะวันออกของประเทศ โดยฮุนเซนไม่กล้าทำอะไร
คนเขมรต่างก็ประณามฮุนเซนหรือ “ไข่เวียดนาม” ว่า นายฮุนเซนนั้นได้ยกดินแดนเขมรให้ “เจ้านาย” ไปแล้ว เป็นจำนวนมากมายโดยที่ประชาชนเขมรไม่ได้ยินยอมด้วย
นี่แหละครับ คือความจริงที่ฮุนเซนใช้ทักษิณมากลบข่าวที่ตนโดนด่าว่าเป็นไข่เวียดนาม ที่ห้อยโตงแตง โดยเขากำลังตกเป็นเป้าที่คนเขมรด้วยกันโจมตีอย่างหนัก
ทักษิณนั้นกินทั้งขึ้นทั้งล่อง สมเป็นจอมโจรที่เรารู้จักกันดี
อย่างแรกในตอนแรกก็สะใจที่นายตำรวจท่านนี้พูดตรงและท่านเอาจริงที่ท่านเห็นว่าลูกน้องไม่ได้ทำตามคำสั่ง แต่นั่นยังไม่เท่ากับที่ไม่มีตำรวจอยู่ในจุดที่เป็นจุดล่อแหลมแม้แต่คนเดียว ทั้งยังไม่รู้ว่าไปไหนด้วย
เท่านั้นไม่พอ เวลาที่ท่านไปดูที่เกิดเหตุพบว่ามีคนบ้ามาอาละวาด และกำลังโดนประชาทัณฑ์เพราะเกิดความเข้าใจผิดนั้น ท่านพยายามไปแยก ท่านเห็นตำรวจร่วม 30 คน ดูอยู่ห่างๆ ไม่ได้เข้ามาช่วยท่าน
เห็นๆ อยู่ว่าอาการที่ท่านบริภาษครั้งนี้ เรียกว่า “เบรกแตก” ก็คงไม่ผิด
ความจริงการชุมนุมของพันธมิตรฯ มักโดนก่อกวนและโดนทำร้ายทุกครั้ง ตำรวจเองก็รู้ ดังนั้นการที่ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ออกมาด่าทอก็ถูกละครับ เพราะใช้กำลังตำรวจกว่าพันคนนี่ครับ
ความผิดพลาดมันเกิดขึ้นเกือบทุกอย่าง ขนาดการติดต่อสื่อสารซึ่งไม่น่าเกิดยังเป็นไปได้
ผมตั้งข้อสังเกตไว้ ณ ที่นี้ว่า การชุมนุมของพวกเสื้อแดง มันไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้
ทำไม?
ข้อสังเกต หลังมีการยิงเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุมแบบเฉียดเวทีนั้น ได้มีการประเมินว่า แนวการยิงคงจะมาจากบริเวณหลังคลองหลอดเป็นการยิงโดยไม่เห็นเป้าใช้เล็งแบบ blind spot
เรื่องยิงนี้ตำรวจบอกทำได้ง่ายๆ ชาวบ้านร้านตลาดก็ยิงได้ ยิงจากพื้นดิน หรือจากตึกสูงก็ทำได้ แถมเครื่องยิงเอ็ม 79 นี้ ชาวบ้านซื้อหาได้ไม่ยาก ทั้งที่เป็นอาวุธสงครามก็เถอะ
แม้ตำรวจจะชี้ว่าการยิงครั้งนี้ ไม่แน่ใจว่าจะหมายเอาชีวิตหรือไม่ แต่ผมเห็นว่า คนร้ายนั้นต้องการยิงให้ตายอย่างแน่นอนเพราะไม่เช่นนั้นคงไม่ใช้เอ็ม 79 ถ้าจะขู่ก็คงใช้ประทัดให้เกิดเสียงมากกว่าใช้อาวุธร้ายแรงแบบนี้
ส่วนจะจับมือคนยิงได้หรือไม่ ผมขอดักคอไว้เลยว่าคงจะไม่ได้
ทั้งๆ ที่รักษาการ ผบ.ตำรวจแห่งชาติยอมรับว่าจะมีเหตุร้ายก่อนการชุมนุมแล้ว แต่การที่หละหลวมจะไปว่าใครไม่ได้ มีการเตรียมตัวล่วงหน้าอย่างรัดกุม
เพียงแต่เวลาปฏิบัติหน้าที่จริงๆ
ตำรวจของรัฐบาลกลับ “จงใจละเว้น” และไม่ใช่ที่รองนายกรัฐมนตรีสุเทพ เทือกสุบรรณออกมาให้สัมภาษณ์ว่าทางตำรวจได้ทำดีที่สุดแล้ว
คำพูดแบบนี้ไม่น่าหลุดออกมาเลย พับผ่าเถอะ เหมือนตดออกมาเปล่าๆ เพราะขนาดเจ้านายของตำรวจยังออกมาด่าพวกลูกน้องเลยครับ
ส่วนข่าวกรองมีการให้เบาะแสว่า ตัวบงการนั้นเป็นระดับ เสธ. คนดัง เพราะพวกเสื้อแดงที่อยู่ในที่ชุมนุมได้ข่าวก่อนและถูกสั่งให้ออกจากสนามหลวงก่อนเกิดเหตุ
เมื่อถึงเวลายิงระเบิดนั้น เป้าจริงๆ อยู่ที่กลางเวทีในจังหวะที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุลกำลังอภิปรายพอดี เป็นการยิงเพื่อหวังฆ่าโดยแท้
พอเกิดเหตุ คุณสนธิ ครองสติไม่ได้ตกใจหรือหลบแต่อย่างใด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นคนจำนวนมากก็จะสับสน อาจถึงเหยียบกันอุตลุดซึ่งจะบาดเจ็บสาหัสกว่านี้
คาดว่ากลุ่มที่ขี้ขลาดตาขาว อันธพาลอำมหิตขี้หมานี้มีแค่ 2 พวก ไม่หนี พล.อ. พ.ที่น่าจะลงมือได้ โดย พล.อ.พ. นี้เข้าไปอยู่ในพรรคการเมืองที่สนับสนุนทักษิณ เขาทำก็เพราะเห็นว่าการที่ทักษิณไปสวามิภักดิ์ฮุนเซนทำให้คะแนนตก ก็เลยกู้ชื่อด้วยการแว้งกัดพันธมิตรฯ โดยให้มีการ “เสียเลือด” บ้าง
อีกกลุ่มน่าจะเป็นพวกกเฬวราก และคงหิวเงินเป็นพวกรับจ้างมากกว่าเห็นแก่อุดมการณ์และเป็นพวกเสธ. ด. ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เผยแพร่ในเว็บไซต์ของตนว่า วันชุมนุมนั้นจะมีระเบิดแน่นอน
พวกจัญไรขี้ขลาดเหล่านี้รับจ้างทำมาหากินโดยไม่คำนึงถึงว่าการก่อกวนวันนี้ ใช่จะทำให้พันธมิตรฯ เสียขวัญ พันธมิตรฯ โดนมามากและโดนมาต่อเนื่อง แต่ทุกครั้งกลับเป็นว่าพันธมิตรฯ กลับได้รับการหนุนช่วย มีกำลังใจมากขึ้นและยืนหยัดต่อสู้ต่อไป
ดังนั้นจึงเป็นที่ควรสังวรให้พวกใจหมาได้รับรู้ว่าการกระทำครั้งนี้ ปราศจากความหมายใดๆ
พลังที่ทำไปด้วยความจงรักภักดีนั้นสอดคล้องกับความปรารถนาของคนไทยทั้งชาติ
ต่างจากคนใจหมาที่จงรักภักดีกับนายทักษิณที่คอยให้ข้าวให้น้ำหรือเศษอาหารเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น มันเทียบกันไม่ได้
และไม่ว่ามันจะจงรักภักดี ยอมเลียจนสุดขุมขนแค่ไหน
สักวันเมื่อทักษิณมันกลับมาใหญ่ มันก็จะถีบหัวส่งปล่อยให้คนใจหมานี้ หากินเป็นหมาข้างถนนหมดอนาคตต่อไป
จำไว้เถอะในประวัติศาสตร์นั้น ไม่มีใครเลี้ยงพวกที่ขายชาติไว้หรอก เพราะลองขายชาติได้แล้วละก้อ
สักวันหนึ่งมันก็ต้องขายนายของมันจนได้
ส่วนทักษิณนั้นหลังจากมากินข้าวกับฮุนเซนก็เปิดหนีกลับไปดูไบแล้ว เรียกว่ามามือเปล่า กลับไปมือเปล่า
สิ่งที่ทักษิณได้นั้น ฮุนเซนกลับเสีย
คือทักษิณได้เข้ามาบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่างไทย-เขมรส่วนฮุนเซนก็เสียความสัมพันธ์นี้ไปแบบ “รับคนเดียวเต็มๆ”
ปัญหาภายในของฮุนเซนก็ยังทำให้รัฐบาลเขาไม่มั่นคงเรียกว่าเคราะห์กรรมซ้ำเติม
เพราะเขาโดนนายสม รังสีประณามด้วยแถลงการณ์ว่า ทุกวันนี้ฮุนเซนเป็นแค่ “ลูกไล่” หรือ “ไข่ของเวียดนาม” เท่านั้น
การที่ฮุนเซนได้ให้ทักษิณเข้ามาอาละวาดกับไทยนั้น บัดนี้ความจริงก็ถูกเปิดเผยแล้วว่า เขาต้องการปกปิดความจริงที่ว่าเขมรนั้นถูกเวียดนามล้ำแดนทางภาคตะวันออกของประเทศ โดยฮุนเซนไม่กล้าทำอะไร
คนเขมรต่างก็ประณามฮุนเซนหรือ “ไข่เวียดนาม” ว่า นายฮุนเซนนั้นได้ยกดินแดนเขมรให้ “เจ้านาย” ไปแล้ว เป็นจำนวนมากมายโดยที่ประชาชนเขมรไม่ได้ยินยอมด้วย
นี่แหละครับ คือความจริงที่ฮุนเซนใช้ทักษิณมากลบข่าวที่ตนโดนด่าว่าเป็นไข่เวียดนาม ที่ห้อยโตงแตง โดยเขากำลังตกเป็นเป้าที่คนเขมรด้วยกันโจมตีอย่างหนัก
ทักษิณนั้นกินทั้งขึ้นทั้งล่อง สมเป็นจอมโจรที่เรารู้จักกันดี