ASTVผู้จัดการรายวัน – มาร์เกตติ้งรวมตัวค้านหักค่าอินเซนทีฟ 25% ด้านตลาดหลักทรัพย์ฯ แจงรอข้อเสนอแนวทางจากสมาคมโบรกเกอร์เพื่อหาข้อยุติวันนี้ ขณะที่แกนนำมาร์เกตติ้ง ขู่หากไม่พอใจพร้อมเดินหน้าเรียกร้องต่อไป
วานนี้ ( 17 พ.ย.) เจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) บริษัทหลักทรัพย์ ได้รวมตัวกันที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประมาณ 200 คน เพื่อยื่นหนังสือเรื่องขอคัดค้านการหักค่าอินเซ็นทีฟของเจ้าหน้าที่การตลาด 25%ของรายได้ทั้งหมดที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.53
ทั้งนี้ ได้มีมาร์เกตติ้งได้ร่วมลงชื่อคัดค้าน 2,500 คน โดยทางมาร์เกตติ้งจะมีการรอดูผลของการประชุมระหว่างตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสมาคมโบรกเกอร์ในเรื่องการจ่ายอินเซ็นทีฟ ซึ่งหากผลออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ กลุ่มมาร์เกตติ้งจะเดินหน้าร้องเรียนเรื่องดังกล่าวต่อไป แต่จะเป็นลักษณะใดนั้นจะต้องมีการประชุมกันอีกครั้ง แต่หากผลออกมาเป็นที่พอใจก็จะยุติการร้องเรียน
นางจารุพรรณ อินทรรุ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต.ไม่มีหน้าที่เรื่องการจ่ายอินเซ็นทีฟให้กับมาร์เกตติ้ง คงต้องรอผลการประชุมของตลาดกลักทรัพย์ฯและสมาคมโบรกเกอร์
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ทางสมาคมโบรกเกอร์จะเเสนอแนวทางเรื่องการดูแลการจ่ายผลตอบแทนตามมูลค่าหลักทรัพย์ (อินเซ็นทีฟ)ให้แก่เจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) เพื่อที่จะนำมาเสนอให้ ตลท. พิจารณา เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด และให้เกิดการพัฒนาเรื่องการให้บริการที่ดีแก่นักลงทุน จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโต ซึ่งเรื่องนี้เป็นเกณฑ์ของ ตลท. ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.
ทั้งนี้ ตลท.มองว่าในบางเรื่องนั้น ตลท. จะให้สมาคมโบรกเกอร์ดูแลกันเอง เพราะที่มีความเข้าใจจากเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมานั้น ตลท. ได้หารือกับโบรกเกอร์ และสมาคมโบรกเกอร์ให้สำรวจความเห็นและพิจารณาเรื่องนี้ ซึ่งการหารือครั้งนี้จะแก้ไขเกณฑ์ ค่าคอมมิชชชั่น การจ่ายอินเซ็นทีฟแก่มาร์เกตติ้ง และจากการเสนอแก้ไขนั้น ก็ได้ให้เพิ่มมูลค่าการซื้อขายขั้นบันไดแรกเพิ่มเป็น 5 ล้านบาท จาก 1 ล้านบาท คิดค่าคอมมิชชั่นที่ 0.25% รวมถึงการให้จ่ายอินเซ็นทีฟแก่มาร์เกตติ้งกรณีที่ลูกค้าสั่งซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต การจ่ายอินเซ็นทีฟ 75% ส่วนอีก 25 % จ่ายให้ทุก 6 ดือน โดยการแก้ไขครั้งนี้ จะทำให้มาร์เกตติ้งมีรายได้ที่ดี และให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น หากไม่แก้ไขก็ต้องใช้ประกาศเดิมที่ออกมาเมื่อปี 2549
วานนี้ ( 17 พ.ย.) เจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) บริษัทหลักทรัพย์ ได้รวมตัวกันที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ประมาณ 200 คน เพื่อยื่นหนังสือเรื่องขอคัดค้านการหักค่าอินเซ็นทีฟของเจ้าหน้าที่การตลาด 25%ของรายได้ทั้งหมดที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.53
ทั้งนี้ ได้มีมาร์เกตติ้งได้ร่วมลงชื่อคัดค้าน 2,500 คน โดยทางมาร์เกตติ้งจะมีการรอดูผลของการประชุมระหว่างตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสมาคมโบรกเกอร์ในเรื่องการจ่ายอินเซ็นทีฟ ซึ่งหากผลออกมาไม่เป็นที่น่าพอใจ กลุ่มมาร์เกตติ้งจะเดินหน้าร้องเรียนเรื่องดังกล่าวต่อไป แต่จะเป็นลักษณะใดนั้นจะต้องมีการประชุมกันอีกครั้ง แต่หากผลออกมาเป็นที่พอใจก็จะยุติการร้องเรียน
นางจารุพรรณ อินทรรุ่ง ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ก.ล.ต.ไม่มีหน้าที่เรื่องการจ่ายอินเซ็นทีฟให้กับมาร์เกตติ้ง คงต้องรอผลการประชุมของตลาดกลักทรัพย์ฯและสมาคมโบรกเกอร์
ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท. กล่าวว่า ทางสมาคมโบรกเกอร์จะเเสนอแนวทางเรื่องการดูแลการจ่ายผลตอบแทนตามมูลค่าหลักทรัพย์ (อินเซ็นทีฟ)ให้แก่เจ้าหน้าที่การตลาด (มาร์เกตติ้ง) เพื่อที่จะนำมาเสนอให้ ตลท. พิจารณา เพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด และให้เกิดการพัฒนาเรื่องการให้บริการที่ดีแก่นักลงทุน จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโต ซึ่งเรื่องนี้เป็นเกณฑ์ของ ตลท. ไม่ต้องได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต.
ทั้งนี้ ตลท.มองว่าในบางเรื่องนั้น ตลท. จะให้สมาคมโบรกเกอร์ดูแลกันเอง เพราะที่มีความเข้าใจจากเป็นผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมานั้น ตลท. ได้หารือกับโบรกเกอร์ และสมาคมโบรกเกอร์ให้สำรวจความเห็นและพิจารณาเรื่องนี้ ซึ่งการหารือครั้งนี้จะแก้ไขเกณฑ์ ค่าคอมมิชชชั่น การจ่ายอินเซ็นทีฟแก่มาร์เกตติ้ง และจากการเสนอแก้ไขนั้น ก็ได้ให้เพิ่มมูลค่าการซื้อขายขั้นบันไดแรกเพิ่มเป็น 5 ล้านบาท จาก 1 ล้านบาท คิดค่าคอมมิชชั่นที่ 0.25% รวมถึงการให้จ่ายอินเซ็นทีฟแก่มาร์เกตติ้งกรณีที่ลูกค้าสั่งซื้อขายผ่านอินเทอร์เน็ต การจ่ายอินเซ็นทีฟ 75% ส่วนอีก 25 % จ่ายให้ทุก 6 ดือน โดยการแก้ไขครั้งนี้ จะทำให้มาร์เกตติ้งมีรายได้ที่ดี และให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น หากไม่แก้ไขก็ต้องใช้ประกาศเดิมที่ออกมาเมื่อปี 2549