ASTVผู้จัดการรายวัน - สลากแพง! ยี่ปั๊วทนไม่ไหว แฉต้นตอมีนักการเมืองเก็บค่าหัวคิว 7 บาทต่อฉบับ ชี้พิมพ์เพิ่มอีกกี่ล้านฉบับก็แก้ปัญหาไม่ได้ แนะจับตาออกล็อตใหม่ 12 ล้านฉบับ 5 ปี 120 งวด กลุ่มทุนการเมืองงาบทันที 7.4 พันล้าน สุดโหด ใครอยากได้ต้องจ่ายสดทันทีก่อน 16 พ.ย.นี้ วอนนายกฯ ส่งคนตรวจสอบด่วน
จากกรณีสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือล็อตเตอรี่ราคายังแพง แม้จะมีการพิมพ์เพิ่มไปแล้ว 4 ล้านฉบับ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้น แหล่งข่าวจากยี่ปั๊วเปิดเผยสาเหตุว่า มียี่ปั๊วหลายรายซื้อสลากผ่านทาง "มูลนิธิสำนักงานสลาก" นอกจากต้องจ่ายค่าดำเนินการ 2% (1.60 บาทต่อฉบับ) ทำให้ราคาต้นทุนเพิ่มจาก 72.80 บาทไปอยู่ที่ 77.40 บาทต่อฉบับแล้ว ยังถูกหักค่าหัวคิวให้นักการเมืองอีก 7 บาทต่อฉบับ (ดูตาราง...ที่มาล็อตเตอรี่แพง)
ประเด็นก็คือยี่ปั๊วโดน 2 เด้ง เด้งแรกเกิดคำถามว่าทำไมต้องจัดสรรโควตาให้มูลนิธิสำนักงานสลากเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งๆ ที่สำนักงานสลากมีฝ่ายจัดจำหน่ายและฝ่ายการตลาดอยู่แล้ว การอ้างว่ามูลนิธิฯ จะเข้ามาแก้ไขปัญหาขายสลากที่ถูกยึดโควตามา ไม่เป็นความจริง เพราะมูลนิธิฯ ได้รับโควตาไปจำนวนมาก ได้รับส่วนลด 2% โดยไม่ต้องขาย ยี่ปั๊วที่ไปขอซื้อแทนที่จะได้รับส่วนลด 9% เหมือนที่ผ่านมา ก็จะได้รับส่วนลดเพียงแค่ 7%
เด้งที่สองมีการเรียกค่าหัวคิวจากนักการเมือง ดังนั้นขายฉบับละ 80 บาท ตามสำนักงานสลากต้องการ ไม่ได้ มูลนิธิฯ กับนักการเมืองจึงเป็นสาเหตุของปัญหา นายกรัฐมนตรีควรลงมาดูแลเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือต้องส่งคนที่ไว้ใจได้เข้ามาตรวจสอบ เพราะไม่แน่ใจว่า รมช.คลัง ที่รับผิดชอบสำนักงานสลากฯ โดยตรงอย่างนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ จะทราบเรื่องดังกล่าวหรือไม่
“แทนที่จะซื้อในราคาส่วนลดจากกองสลากที่ 72.8 บาทต่อฉบับ เหมือนในอดีต ทุกวันนี้ถูกมูลนิธิสำนักงานสลากหักค่าดำเนินการไป 2% ยังไม่พอมูลนิธิฯ ยังหักอีก 7 บาท เพื่อนำส่งนักการเมือง ยี่ปั้วที่รับโควต้าสลากผ่านมูลนิธิฯ จึงต้องจ่ายใบละ 81.40 บาท กว่าจะไปถึงมือประชาชนที่ซื้อล็อตเตอรี่จึงแพงถึง 110 บาท เป็นเพราะนักการเมืองเข้ามารีดค่าหัวคิวได้เงินไปมหาศาล" แหล่งข่าวอธิบายและว่า สลากที่พิมพ์เพิ่มจำนวน 4 ล้านฉบับ เริ่มตั้งแต่งวดวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ระยะเวลา 2 ปี รวม 48 งวดและจำหน่ายหมดไปแล้วนั้น พบว่าเป็นโควตาที่ต้องผ่านมูลนิธิฯ 1 ล้านฉบับ เงินกินเปล่าที่นักการเมืองได้ไปทั้งสิ้น 366 ล้านบาท
**จับตาล็อตใหม่งาบ 7.4 พันล้าน
แหล่งข่าวแนะให้จับตาการพิมพ์สลากเพิ่มล็อตใหม่กำหนดออกจำหน่ายงวดวันที่ 16 ธ.ค.นี้ จำนวนถึง 12 ล้านฉบับ ระยะเวลา 5 ปี รวม 120 งวด นักการเมืองนัดผ่านมูลนิธิฯ ให้ยี่ปั๊วที่ต้องการโควต้าแสดงความจำนงและชำระเงินทั้งก้อนระหว่างวันที่ 9-16 พ.ย.นี้ เช่นกันไม่เพียงต้องจ่ายทั้งมูลนิธิสำนักสลากและจ่ายค่าหัวคิวให้นักการเมืองก่อนวันจันทร์นี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการต่อรองจากยี่ปั๊ว เริ่มมีการลดราคาลงมาบ้างแล้ว ล่าสุดยอมลดราคามาอยู่เหลือระหว่าง 5-7 บาท ที่ลดราคาลงมาได้เพราะสลากล็อตนี้สูงถึง 12 ล้านฉบับ หากคำนวณเป็นเม็ดเงิน กรณีที่ขายออกหมดกลุ่มทุนการเมืองก็จะได้เงินกินเปล่าทันที 7.4 พันล้านบาท ตอนนี้มียี่ปั๊วจ่ายไปหลายรายทั้งๆ ที่หากมองอุปสงค์อุปทานแล้ว จะเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ไปขายในราคาแพงเพื่อไม่ให้ขาดทุน
"เทียบกับปริมาณสลากที่ทยอยออกมา คนซื้อก็ต้องน้อยลง ปกติแค่ 46 ล้านฉบับที่ขายกันในแต่ละงวดก็ขายไม่หมดอยู่แล้ว เพิ่มมาอีก 4 ล้านฉบับ ก็ขายไม่หมด ยิ่งจะมีการเพิ่มมาอีก 12 ล้านฉบับ รวมเป็น 62 ล้านฉบับ ยิ่งขายยากที่แย่ก็คือไม่สามารถแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาได้โดยแท้จริง โครงสร้างอัปยศที่มูลนิธิฯ กับกลุ่มทุนการเมืองจัดตั้งขึ้น อาจสร้างความเสียหายให้วงการค้าสลาก โดยเฉพาะยี่ปั๊วที่ไม่แข็งแรงพอ"
แหล่งข่าวย้ำว่า หากรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญหรือมีกระแสสังคมกดดัน สลากจำนวน 12 ล้านฉบับ พอจะมีโอกาสเลื่อนไปก่อนแต่จะไม่ถึงกับยกเลิกอย่างแน่นอน อย่างมากอาจจะมีการสลับแผนการนำสลากการกุศล 4 ล้านฉบับ ระยะเวลา 2 ปี จำนวน 48 งวด ที่เป็นคิวต่อไป ออกมาก่อน ขึ้นอยู่กับกระแสและสถานภาพของรัฐบาลด้วย ว่าจะมีการยุบสภาในเร็วๆ นี้หรือไม่ เนื่องจากเงินจำนวนมหาศาลดังกล่าว สามารถนำไปเป็นงบของพรรคการเมืองที่มีเอี่ยวเพื่อหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งครั้งหน้า.
จากกรณีสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือล็อตเตอรี่ราคายังแพง แม้จะมีการพิมพ์เพิ่มไปแล้ว 4 ล้านฉบับ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้น แหล่งข่าวจากยี่ปั๊วเปิดเผยสาเหตุว่า มียี่ปั๊วหลายรายซื้อสลากผ่านทาง "มูลนิธิสำนักงานสลาก" นอกจากต้องจ่ายค่าดำเนินการ 2% (1.60 บาทต่อฉบับ) ทำให้ราคาต้นทุนเพิ่มจาก 72.80 บาทไปอยู่ที่ 77.40 บาทต่อฉบับแล้ว ยังถูกหักค่าหัวคิวให้นักการเมืองอีก 7 บาทต่อฉบับ (ดูตาราง...ที่มาล็อตเตอรี่แพง)
ประเด็นก็คือยี่ปั๊วโดน 2 เด้ง เด้งแรกเกิดคำถามว่าทำไมต้องจัดสรรโควตาให้มูลนิธิสำนักงานสลากเป็นผู้ดำเนินการ ทั้งๆ ที่สำนักงานสลากมีฝ่ายจัดจำหน่ายและฝ่ายการตลาดอยู่แล้ว การอ้างว่ามูลนิธิฯ จะเข้ามาแก้ไขปัญหาขายสลากที่ถูกยึดโควตามา ไม่เป็นความจริง เพราะมูลนิธิฯ ได้รับโควตาไปจำนวนมาก ได้รับส่วนลด 2% โดยไม่ต้องขาย ยี่ปั๊วที่ไปขอซื้อแทนที่จะได้รับส่วนลด 9% เหมือนที่ผ่านมา ก็จะได้รับส่วนลดเพียงแค่ 7%
เด้งที่สองมีการเรียกค่าหัวคิวจากนักการเมือง ดังนั้นขายฉบับละ 80 บาท ตามสำนักงานสลากต้องการ ไม่ได้ มูลนิธิฯ กับนักการเมืองจึงเป็นสาเหตุของปัญหา นายกรัฐมนตรีควรลงมาดูแลเรื่องนี้ด้วยตัวเองหรือต้องส่งคนที่ไว้ใจได้เข้ามาตรวจสอบ เพราะไม่แน่ใจว่า รมช.คลัง ที่รับผิดชอบสำนักงานสลากฯ โดยตรงอย่างนายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ จะทราบเรื่องดังกล่าวหรือไม่
“แทนที่จะซื้อในราคาส่วนลดจากกองสลากที่ 72.8 บาทต่อฉบับ เหมือนในอดีต ทุกวันนี้ถูกมูลนิธิสำนักงานสลากหักค่าดำเนินการไป 2% ยังไม่พอมูลนิธิฯ ยังหักอีก 7 บาท เพื่อนำส่งนักการเมือง ยี่ปั้วที่รับโควต้าสลากผ่านมูลนิธิฯ จึงต้องจ่ายใบละ 81.40 บาท กว่าจะไปถึงมือประชาชนที่ซื้อล็อตเตอรี่จึงแพงถึง 110 บาท เป็นเพราะนักการเมืองเข้ามารีดค่าหัวคิวได้เงินไปมหาศาล" แหล่งข่าวอธิบายและว่า สลากที่พิมพ์เพิ่มจำนวน 4 ล้านฉบับ เริ่มตั้งแต่งวดวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ระยะเวลา 2 ปี รวม 48 งวดและจำหน่ายหมดไปแล้วนั้น พบว่าเป็นโควตาที่ต้องผ่านมูลนิธิฯ 1 ล้านฉบับ เงินกินเปล่าที่นักการเมืองได้ไปทั้งสิ้น 366 ล้านบาท
**จับตาล็อตใหม่งาบ 7.4 พันล้าน
แหล่งข่าวแนะให้จับตาการพิมพ์สลากเพิ่มล็อตใหม่กำหนดออกจำหน่ายงวดวันที่ 16 ธ.ค.นี้ จำนวนถึง 12 ล้านฉบับ ระยะเวลา 5 ปี รวม 120 งวด นักการเมืองนัดผ่านมูลนิธิฯ ให้ยี่ปั๊วที่ต้องการโควต้าแสดงความจำนงและชำระเงินทั้งก้อนระหว่างวันที่ 9-16 พ.ย.นี้ เช่นกันไม่เพียงต้องจ่ายทั้งมูลนิธิสำนักสลากและจ่ายค่าหัวคิวให้นักการเมืองก่อนวันจันทร์นี้
อย่างไรก็ตาม หลังจากมีการต่อรองจากยี่ปั๊ว เริ่มมีการลดราคาลงมาบ้างแล้ว ล่าสุดยอมลดราคามาอยู่เหลือระหว่าง 5-7 บาท ที่ลดราคาลงมาได้เพราะสลากล็อตนี้สูงถึง 12 ล้านฉบับ หากคำนวณเป็นเม็ดเงิน กรณีที่ขายออกหมดกลุ่มทุนการเมืองก็จะได้เงินกินเปล่าทันที 7.4 พันล้านบาท ตอนนี้มียี่ปั๊วจ่ายไปหลายรายทั้งๆ ที่หากมองอุปสงค์อุปทานแล้ว จะเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงมากที่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ไปขายในราคาแพงเพื่อไม่ให้ขาดทุน
"เทียบกับปริมาณสลากที่ทยอยออกมา คนซื้อก็ต้องน้อยลง ปกติแค่ 46 ล้านฉบับที่ขายกันในแต่ละงวดก็ขายไม่หมดอยู่แล้ว เพิ่มมาอีก 4 ล้านฉบับ ก็ขายไม่หมด ยิ่งจะมีการเพิ่มมาอีก 12 ล้านฉบับ รวมเป็น 62 ล้านฉบับ ยิ่งขายยากที่แย่ก็คือไม่สามารถแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาได้โดยแท้จริง โครงสร้างอัปยศที่มูลนิธิฯ กับกลุ่มทุนการเมืองจัดตั้งขึ้น อาจสร้างความเสียหายให้วงการค้าสลาก โดยเฉพาะยี่ปั๊วที่ไม่แข็งแรงพอ"
แหล่งข่าวย้ำว่า หากรัฐบาลหรือนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญหรือมีกระแสสังคมกดดัน สลากจำนวน 12 ล้านฉบับ พอจะมีโอกาสเลื่อนไปก่อนแต่จะไม่ถึงกับยกเลิกอย่างแน่นอน อย่างมากอาจจะมีการสลับแผนการนำสลากการกุศล 4 ล้านฉบับ ระยะเวลา 2 ปี จำนวน 48 งวด ที่เป็นคิวต่อไป ออกมาก่อน ขึ้นอยู่กับกระแสและสถานภาพของรัฐบาลด้วย ว่าจะมีการยุบสภาในเร็วๆ นี้หรือไม่ เนื่องจากเงินจำนวนมหาศาลดังกล่าว สามารถนำไปเป็นงบของพรรคการเมืองที่มีเอี่ยวเพื่อหาเสียงในการเลือกตั้งครั้งครั้งหน้า.