ASTVผู้จัดการรายวัน - “แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง” คาดปีหน้ากำไรสุทธิ 100 ล้านบาท รายได้โต 15% หรือ 2,000 ล้านบาท “วุฒิชัย ลีนะบรรจง” คุยปีนี้กำไรเสมอตัวหลัง9 เดือน ขาดทุน แต่ไตรมาส 4เศรษฐกิจฟื้นดันธุรกิจบริษัทย่อยสดใส ตั้งเป้าปี 53 งบลงทุน 300 ล้านบาท เพิ่มกำลังผลิตสินค้าใหม่ รุกตลาดต่างประเทศ และเทกโอเวอร์บริษัทก่อสร้าง ส่วนพอร์ตลงทุนหุ้น เน้นหุ้นพื้นฐานดี ไม่เอาหุ้นเก็งกำไร พร้อมดัน 2 บริษัทย่อย เข้าตลาด ล่าสุดแตกพาร์หุ้นจาก 5 บาท เหลือ 1 บาท หวังดันสภาพคล่องเพิ่ม
นายวุฒิชัย ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ CEN ซึ่งประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปี 2553จะเพิ่มขึ้น ไม่ต่ำกว่า15% หรืออยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้รวม 1,600 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้ของบริษัทย่อย 3 แห่ง ซึ่งยังไม่รวมกับการได้รับชำระหนี้ในช่วงปลายปีหน้าอีก 150 ล้านบาท แบ่งเป็น มาจาก บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลวดเหล็กแรงดึงสูง จำนวน 800 ล้านบาท บริษัทเอื้อวิทยา จำกัด ซึ่งทำธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายโครงเหล็กชุบสังกะสี
สำหรับเสาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง เสาโทรคมนาคม และโครงเหล็กสถานีไฟฟ้าย่อย มูลค่า 800 ล้านบาท และบริษัท เอ็นเนซอล ซึ่งทำธุรกิจบริหารจัดการพลังงาน มูลค่า 200 ล้านบาท
"รายได้ของบริษัทในปีหน้าเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นและจากการที่รัฐบาลมีการลงทุนตามโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทย่อยของบริษัทคือ บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ อย่างมาก เพราะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลวดเหล็กแรงดึงสูง ซึ่งเป็นวัสดุที่สำคัญในงานก่อสร้างต่างๆ ขณะที่บริษัทเอื้อวิทยา จะมีการเปิดประมูลโครงการใหม่ๆอย่างต่อเนื่องคิดเป็นมูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะชนะงานประมูลกว่า 40-50%ของมูลค่างาน ส่วน บริษัทเอ็นเนซอล จะมีการหาลูกค้ารายใหม่อีก 4-5 จากปัจจุบันที่มี 1 แห่ง เท่านั้น"
นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะจำหน่ายสินค้าไปต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการในประเทศลิเบีย ในการส่งสินค้าไปจำหน่ายและคาดว่าจะส่งไปจำหน่ายได้ภายในปีหน้า และได้ให้บริษัทเอื้อวิทยา เข้าไปร่วมกับบริษัทพันธมิตรที่ประเทศกัมพูชา ในการเข้าไปประมูลงาน 2-3 โครงการมูลงาน 2,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้ส่วนแบ่งมูลค่างานประมาณ 600 ล้านบาท
โดยคาดว่าจะสรุปภายใน 2 เดือนจากนี้ แต่จากปัญหาความสัมพันธ์ของไทยกัมพูชา นั้น อาจทำให้โครงการดังกล่าวอาจไม่สำเร็จได้ และบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปประเทศพม่า จากปีหน้าที่จะมีการเลือกตั้งทำให้การเมืองในประเทศนิ่ง และจะมีการลงทุนเยอะโดยในวันที่ 5 ธันวาคมนี้จะร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์)
นายวุฒิชัย กล่าวว่า ปีหน้า บริษัทจะใช้งบลงทุนมูลค่า 300 ล้านบาท ในการในการขยายกำลังการผลิต เพิ่มสินค้าใหม่ของบริษัทย่อย และการเข้าไปซื้อกิจการบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจก่อสร้าง จากปีนี้ที่ไม่สามารถเข้าไปซื้อกิจการบริษัททำธุรกิจก่อสร้างได้ เพราะภาวะเศรษฐกจิที่ไม่ดีทำให้ไม่สามารถเข้าไปลงทุนในบริษัทที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นในระดับที่น่าพอใจได้ และจากที่บริษัทมีพอร์ตการลงทุนในหุ้นอยู่จำนวน 100 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันจะเน้นลงทุนระยะสั้นนั้น โดยปีหน้าจะเข้าไปลงทุนในหุ้นที่มีเวลาถือหุ้นระยะกลางเพื่อรับเงินปันผลสัดส่วน 20-30% และลงทุนระยะสั้น 70-80% แต่การลงทุนของบริษัทจะไม่เข้าไปลงทุนหุ้นเก็งกำไร เช่น IEC BLISS ฯลฯ โดยจะเน้นลงทุนหุ้นพื้นฐานดี ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนที่จะนำบริษัทย่อย 2 แห่ง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คือ บริษัท เอื้อวิทยา และบริษัทระยองไวร์ จากที่ปีหน้ามีผลประกอบการเติบโตที่ดี จากที่ผ่านมาได้มีการยกเลิกนำบริษัทเอื้อวิทยา เข้าจดทะเบียน ส่วนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) นั้น ขึ้นอยู่กับว่า 2 บริษัทมีผลกำไรออกมาจำนวนเท่าไร และจะเข้าจดทะเบียนช่วงไหนก็ขึ้นอยู่กับความพร้อม แต่หากเร็วที่สุดที่เข้าได้น่าจะเป็นช่วงปลายปีหน้า
ส่วนรายได้ปีนี้ของบริษัทที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1,600 ล้านบาทนั้น ต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทจากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้ปีนี้อยู่ที่ 2,200 ล้านบาท เนื่องจาก ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้การลงทุนโครงการต่างๆมีไม่มากนัก อีกทั้งบริษัทมีต้นทุนในการเก็บสต็อกราคาเหล็กที่แพง แต่จำหน่ายได้ในราคาที่ต่ำ ประกอบกับบริษัทเอ็นเนซอล หยุดประกอบธุรกิจไปจำนวน 6 เดือน ทำให้ขาดรายได้ไปมูลค่า 200 ล้านบาท แต่เชื่อว่าในช่วงไตรมาส4/52 บริษัทจะมีผลประกอบการที่ดี จากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้ปีนี้บริษัทไม่ขาดทุน แต่ก็ยังไม่กำไร จากที่9 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 26 ล้านบาท
สำหรับ CEN ในไตรมาส 3/52 สามารถพลิกมีกำไรสุทธิ 36.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 208.66% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/52 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 33.36 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทย่อยทั้ง 3 แห่ง มีผลประกอบการดีขึ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบไตรมาส 3/52 กับงวดเดียวกันของปีก่อนจะพบว่ากำไรปรับตัวลดลง เพราะในไตรมาส 3/51 มีรายการพิเศษเกิดขึ้นคือ มีการรับรู้รายได้จากหนี้สงสัยจะสูญรับคืนถึง 97.96 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 6/2552 ได้มีมติให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัทจากเดิมหุ้นละ 5 บาท เป็นมูลค่าหุ้นละ 1 บาท โดยทุนจดทะเบียนของบริษัทจะคงเดิม คือ 625,000,000 บาท แต่จะแตกหุ้นสามัญจาก 125,000,000 หุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท เป็น 625,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ในครั้งนี้จะทำให้มูลค่าหุ้นของ CEN อยู่ในมาตรฐานเดียวกับบริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการประเมินและเปรียบเทียบข้อมูลของนักวิเคราะห์และนักลงทุน อีกทั้งคาดว่าจะทำให้การซื้อขายหุ้น CEN ในกระดานความคึกคักขึ้นตามสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2552 ในวันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2553 โดยจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2552 ในวันที่ 3ธันวาคม 2552 และให้รวบรวมรายชื่อ ตาม ม.225 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 4 ธันวาคม 2552
นายวุฒิชัย ลีนะบรรจง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ CEN ซึ่งประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปี 2553จะเพิ่มขึ้น ไม่ต่ำกว่า15% หรืออยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้รวม 1,600 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้ของบริษัทย่อย 3 แห่ง ซึ่งยังไม่รวมกับการได้รับชำระหนี้ในช่วงปลายปีหน้าอีก 150 ล้านบาท แบ่งเป็น มาจาก บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลวดเหล็กแรงดึงสูง จำนวน 800 ล้านบาท บริษัทเอื้อวิทยา จำกัด ซึ่งทำธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายโครงเหล็กชุบสังกะสี
สำหรับเสาสายส่งไฟฟ้าแรงสูง เสาโทรคมนาคม และโครงเหล็กสถานีไฟฟ้าย่อย มูลค่า 800 ล้านบาท และบริษัท เอ็นเนซอล ซึ่งทำธุรกิจบริหารจัดการพลังงาน มูลค่า 200 ล้านบาท
"รายได้ของบริษัทในปีหน้าเพิ่มขึ้น เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นและจากการที่รัฐบาลมีการลงทุนตามโครงการไทยเข้มแข็ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทย่อยของบริษัทคือ บริษัท ระยองไวร์ อินดัสตรีส์ อย่างมาก เพราะเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ลวดเหล็กแรงดึงสูง ซึ่งเป็นวัสดุที่สำคัญในงานก่อสร้างต่างๆ ขณะที่บริษัทเอื้อวิทยา จะมีการเปิดประมูลโครงการใหม่ๆอย่างต่อเนื่องคิดเป็นมูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะชนะงานประมูลกว่า 40-50%ของมูลค่างาน ส่วน บริษัทเอ็นเนซอล จะมีการหาลูกค้ารายใหม่อีก 4-5 จากปัจจุบันที่มี 1 แห่ง เท่านั้น"
นอกจากนี้บริษัทมีแผนที่จะจำหน่ายสินค้าไปต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการในประเทศลิเบีย ในการส่งสินค้าไปจำหน่ายและคาดว่าจะส่งไปจำหน่ายได้ภายในปีหน้า และได้ให้บริษัทเอื้อวิทยา เข้าไปร่วมกับบริษัทพันธมิตรที่ประเทศกัมพูชา ในการเข้าไปประมูลงาน 2-3 โครงการมูลงาน 2,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้ส่วนแบ่งมูลค่างานประมาณ 600 ล้านบาท
โดยคาดว่าจะสรุปภายใน 2 เดือนจากนี้ แต่จากปัญหาความสัมพันธ์ของไทยกัมพูชา นั้น อาจทำให้โครงการดังกล่าวอาจไม่สำเร็จได้ และบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปประเทศพม่า จากปีหน้าที่จะมีการเลือกตั้งทำให้การเมืองในประเทศนิ่ง และจะมีการลงทุนเยอะโดยในวันที่ 5 ธันวาคมนี้จะร่วมกับผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์)
นายวุฒิชัย กล่าวว่า ปีหน้า บริษัทจะใช้งบลงทุนมูลค่า 300 ล้านบาท ในการในการขยายกำลังการผลิต เพิ่มสินค้าใหม่ของบริษัทย่อย และการเข้าไปซื้อกิจการบริษัทซึ่งประกอบธุรกิจก่อสร้าง จากปีนี้ที่ไม่สามารถเข้าไปซื้อกิจการบริษัททำธุรกิจก่อสร้างได้ เพราะภาวะเศรษฐกจิที่ไม่ดีทำให้ไม่สามารถเข้าไปลงทุนในบริษัทที่จะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นในระดับที่น่าพอใจได้ และจากที่บริษัทมีพอร์ตการลงทุนในหุ้นอยู่จำนวน 100 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันจะเน้นลงทุนระยะสั้นนั้น โดยปีหน้าจะเข้าไปลงทุนในหุ้นที่มีเวลาถือหุ้นระยะกลางเพื่อรับเงินปันผลสัดส่วน 20-30% และลงทุนระยะสั้น 70-80% แต่การลงทุนของบริษัทจะไม่เข้าไปลงทุนหุ้นเก็งกำไร เช่น IEC BLISS ฯลฯ โดยจะเน้นลงทุนหุ้นพื้นฐานดี ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนที่จะนำบริษัทย่อย 2 แห่ง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) คือ บริษัท เอื้อวิทยา และบริษัทระยองไวร์ จากที่ปีหน้ามีผลประกอบการเติบโตที่ดี จากที่ผ่านมาได้มีการยกเลิกนำบริษัทเอื้อวิทยา เข้าจดทะเบียน ส่วนจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) นั้น ขึ้นอยู่กับว่า 2 บริษัทมีผลกำไรออกมาจำนวนเท่าไร และจะเข้าจดทะเบียนช่วงไหนก็ขึ้นอยู่กับความพร้อม แต่หากเร็วที่สุดที่เข้าได้น่าจะเป็นช่วงปลายปีหน้า
ส่วนรายได้ปีนี้ของบริษัทที่คาดว่าจะอยู่ที่ 1,600 ล้านบาทนั้น ต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทจากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้ปีนี้อยู่ที่ 2,200 ล้านบาท เนื่องจาก ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้การลงทุนโครงการต่างๆมีไม่มากนัก อีกทั้งบริษัทมีต้นทุนในการเก็บสต็อกราคาเหล็กที่แพง แต่จำหน่ายได้ในราคาที่ต่ำ ประกอบกับบริษัทเอ็นเนซอล หยุดประกอบธุรกิจไปจำนวน 6 เดือน ทำให้ขาดรายได้ไปมูลค่า 200 ล้านบาท แต่เชื่อว่าในช่วงไตรมาส4/52 บริษัทจะมีผลประกอบการที่ดี จากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงทำให้ปีนี้บริษัทไม่ขาดทุน แต่ก็ยังไม่กำไร จากที่9 เดือนแรกปีนี้บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 26 ล้านบาท
สำหรับ CEN ในไตรมาส 3/52 สามารถพลิกมีกำไรสุทธิ 36.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 208.66% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2/52 ที่มีผลขาดทุนสุทธิ 33.36 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทย่อยทั้ง 3 แห่ง มีผลประกอบการดีขึ้นทั้งหมด อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบไตรมาส 3/52 กับงวดเดียวกันของปีก่อนจะพบว่ากำไรปรับตัวลดลง เพราะในไตรมาส 3/51 มีรายการพิเศษเกิดขึ้นคือ มีการรับรู้รายได้จากหนี้สงสัยจะสูญรับคืนถึง 97.96 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ คณะกรรมการของบริษัท ครั้งที่ 6/2552 ได้มีมติให้เปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ของบริษัทจากเดิมหุ้นละ 5 บาท เป็นมูลค่าหุ้นละ 1 บาท โดยทุนจดทะเบียนของบริษัทจะคงเดิม คือ 625,000,000 บาท แต่จะแตกหุ้นสามัญจาก 125,000,000 หุ้นมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท เป็น 625,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยการเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ในครั้งนี้จะทำให้มูลค่าหุ้นของ CEN อยู่ในมาตรฐานเดียวกับบริษัทในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งจะทำให้ง่ายต่อการประเมินและเปรียบเทียบข้อมูลของนักวิเคราะห์และนักลงทุน อีกทั้งคาดว่าจะทำให้การซื้อขายหุ้น CEN ในกระดานความคึกคักขึ้นตามสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2552 ในวันจันทร์ที่ 4 มกราคม 2553 โดยจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิในการเข้าร่วมประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2552 ในวันที่ 3ธันวาคม 2552 และให้รวบรวมรายชื่อ ตาม ม.225 ของ พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 4 ธันวาคม 2552