ศูนย์ข่าวศรีราชา - นายกสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย มั่นใจว่า ปีนี้ มูลค่าตลาดของมันฯมีตัวเลขไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาท เหตุความต้องการพลังงานเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ทำให้จีนและอเมริกา มีความต้องการวัตถุดิบที่จะใช้ผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้น และแม้เกษตรกรผู้ปลูกมันฯจะต้องประสบปัญหาเพลี้ยแป้งจนทำให้ผลผลิตต่อไร่ทั่วประเทศลดลงไม่น้อยกว่า 30%
นายนิยม จุฬาเสรีกุล นายกสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย เผยว่าแม้ขณะนี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศจะกำลังประสบปัญหาเพลี้ยแป้ง ที่ทำให้ผลผลิตต่อไร่ที่มีพื้นที่ปลูกทั่วประเทศรวมกว่า 7 พันไร่หายไปน้อยกว่า 30% แต่ก็ยังไม่มีผลต่อมูลค่าตลาดโดยรวม ที่คาดว่าในปีนี้จะไม่แตกต่างจากปีก่อนคือมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้เป็นเพราะความต้องการพลังงานเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ทำให้ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน และสหรัฐอเมริกามีความต้องการวัตถุดิบสำหรับผลิตเอทานอลมากตามไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือราคารับซื้อหัวมันสดที่ขยับจาก 140 เหรียญสหรัฐต่อตันเป็น 160 เหรียญสหรัฐต่อตัน
นอกจากนั้นปัจจัยเกี่ยวกับความต้องการเอทานอลที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศ จากนโยบายสนับสนุนให้ประเทศไทยมีโรงงานผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้นจนปัจจุบันมีมากถึง 20 โรงงานก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังถูกนำเข้าสู่กระบวนการผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านั้นความต้องการวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นยังทำให้ราคารับซื้ออ้อย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบสำคัญก็ขยับตาม
“นับจากนี้ไปจนถึงปี 2553 ต้องบอกว่าเป็นปีทองของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังและอ้อย โดยเฉพาะราคารับซื้ออ้อยที่สูงขึ้นมากจนทำให้วิตกกันว่าในปีหน้าเกษตรกรผู้ปลูกมันฯอาจหันไปปลูกอ้อยเพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นข้าวโพดของไทยก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ซึ่งขณะนี้จีนและอเมริกาผลิตข้าวโพดได้ไม่ทันต่อความต้องการบริโภคในประเทศ จึงจำเป็นต้องออเดอร์ข้าวโพดจากไทยเพิ่มขึ้น และคาดว่าในปี 2553 จีนจะนำเข้าเฉพาะมันสำปะหลังจากไทยอีกไม่น้อยกว่า 4.5 ล้านตัน ”นายนิยม กล่าว
นายนิยม จุฬาเสรีกุล นายกสมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย เผยว่าแม้ขณะนี้เกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังทั่วประเทศจะกำลังประสบปัญหาเพลี้ยแป้ง ที่ทำให้ผลผลิตต่อไร่ที่มีพื้นที่ปลูกทั่วประเทศรวมกว่า 7 พันไร่หายไปน้อยกว่า 30% แต่ก็ยังไม่มีผลต่อมูลค่าตลาดโดยรวม ที่คาดว่าในปีนี้จะไม่แตกต่างจากปีก่อนคือมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้เป็นเพราะความต้องการพลังงานเชื้อเพลิงที่เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลก ทำให้ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างจีน และสหรัฐอเมริกามีความต้องการวัตถุดิบสำหรับผลิตเอทานอลมากตามไปด้วย ผลที่ตามมาก็คือราคารับซื้อหัวมันสดที่ขยับจาก 140 เหรียญสหรัฐต่อตันเป็น 160 เหรียญสหรัฐต่อตัน
นอกจากนั้นปัจจัยเกี่ยวกับความต้องการเอทานอลที่เพิ่มมากขึ้นในประเทศ จากนโยบายสนับสนุนให้ประเทศไทยมีโรงงานผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้นจนปัจจุบันมีมากถึง 20 โรงงานก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังถูกนำเข้าสู่กระบวนการผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้นด้วย ไม่เพียงเท่านั้นความต้องการวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นยังทำให้ราคารับซื้ออ้อย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบสำคัญก็ขยับตาม
“นับจากนี้ไปจนถึงปี 2553 ต้องบอกว่าเป็นปีทองของกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังและอ้อย โดยเฉพาะราคารับซื้ออ้อยที่สูงขึ้นมากจนทำให้วิตกกันว่าในปีหน้าเกษตรกรผู้ปลูกมันฯอาจหันไปปลูกอ้อยเพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นข้าวโพดของไทยก็ยังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก ซึ่งขณะนี้จีนและอเมริกาผลิตข้าวโพดได้ไม่ทันต่อความต้องการบริโภคในประเทศ จึงจำเป็นต้องออเดอร์ข้าวโพดจากไทยเพิ่มขึ้น และคาดว่าในปี 2553 จีนจะนำเข้าเฉพาะมันสำปะหลังจากไทยอีกไม่น้อยกว่า 4.5 ล้านตัน ”นายนิยม กล่าว
