นายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตยื ในฐานะที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการ (กมธ.) ยุติธรรม กฎหมายและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า การที่นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ประธาน กมธ. การยุติธรรมฯ ระบุว่าตนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการที่รัฐบาลถอดยศ และริบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ในที่ประชุม กมธ.พูดถึงหลักเกณฑ์และจำนวนผู้ที่เคยถูกถอดยศว่า เคยมีมาก่อนหรือไม่ ซึ่ง กมธ.ไม่มีข้อมูล จึงจำเป็นต้องเรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสอบถาม
นอกจากนี้ ยังต้องสอบถามถึงข้อกฎหมายว่าเป็นอย่างไร เพื่อที่การดำเนินการ ทุกอย่างจะไม่ถูกดึงมาเป็นประเด็นการเมือง ซึ่งการถอดยศต้องทำให้เห็นชัดเจนว่า ไม่มีการเลือกปฏิบัติ กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณควรจะถูกถอดยศ หากเข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย
ผมเป็นกมธ.มานาน มั่นใจว่าจะไม่อยู่ในเกมการเมืองของพรรคเพื่อไทยและไม่อยากให้กมธ.เป็นเครื่องมือทางการเมือง ผมจะคอยดูแลไม่ให้มีการข่มขู่หน่วยงาน ที่เกี่ยวงข้อง ที่เข้ามาชี้แจงจนทำให้ไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่ รับรองได้ว่า นายประชาจะไม่สามารถใช้เวทีของ กมธ.เพื่อช่วยพ.ต.ท.ทักษิณได้อย่างแน่นอน หากจะมีการดำเนินการอะไร ทุกอย่างจะต้องอยู่ในข้อบังคับของกมธ.
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีขั้นตอนและกระบวนการที่ดำเนินการมานานแล้ว รัฐบาลไม่ได้เร่งรัดตามที่ถูกฝ่ายค้านกล่าวหา และไม่ทราบว่าเรื่องนี้จะบังเกิดผลในการปฏิบัติเมื่อใด เพราะต้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่ก็ยังมีแกนนำ นปช.และคนในพรรคเพื่อไทย ออกมาแก้เกี้ยว โดยมีความพยายามกล่าวหา และพาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์ในยุคของนายชวน หลีกภัย ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า มีการคืนยศทหารให้ จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งกรณีนี้ขอยืนยันว่า จอมพลถนอม ไม่ได้ถูกถอดยศใดๆ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยรัฐบาลของนายชวน เองก็ไม่ได้คืนยศ ให้ตามที่ถูกกล่าวหา จึงขอเรียกร้องให้แกนนำคนเสื้อแดงกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และไม่อยากให้ตีสำนวนข้างๆ คูๆว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกปลด แต่คืนยศให้ทรราชย์ ซึ่งเป็นการใช้สำนวนโวหารที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
ส่วนที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ขู่ว่า การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟนั้นนายเทพไท กล่าวว่า เป็นการ พูดข่มขู่สังคม และปลุกระดมคนเสื้อแดง ที่ต้องการหาเหตุผลในการเคลื่อนไหว เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยากให้การเมืองวุ่นวาย คนเสื้อแดงจึงไม่มีเหตุในการเคลื่อนไหวอีก
สำหรับการตั้งกระทู้ถามสดของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการนำข้าราชการทหารและตำรวจระดับชั้นนายพลเข้าเฝ้าฯนั้น นายเทพไท กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ ได้ชี้แจงกรณีดังกล่าวหลายครั้ง แต่นายจตุพรก็ยังนำเรื่องนี้มาพูด เพื่อโยงมาเรื่องความจงรักภักดีที่สังคมยังคลางแคลงใจในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ จึงยกกรณีของนายอภิสิทธิ์ มากล่าวอ้าง ซึ่งหน้าที่การนำเข้าเฝ้าฯนั้น รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็สามารถทำได้ตามสายงาน และตามประเพณีปฏิบัติ ถือว่าทำได้ ดังนั้น การพูดเรื่องนี้อีกครั้งจึงเป็นการใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ ในเรื่องความจงรักภักดี เหมือนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เข้าเฝ้าฯ เพื่อรับฟังพระบรมราโชวาท ซึ่งมีการโจมตีว่าไม่บังควร โดยนายอภิสิทธิ์ ได้ฟ้องดำเนินคดีผู้กล่าวหาแล้ว
เรื่องนี้หากนายจตุพรอยากพูด ก็ขอให้มาพูดนอกสภาฯ เพราะจะได้ไม่มีเอกสิทธิ์ส.ส.คุ้มครองและนายอภิสิทธิ์ สามารถฟ้องร้องได้
นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่าว่า พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นห่วงและกังวลว่าเรื่องการถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเกิดความรุนแรง เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อาจไม่รู้สึกอะไร แต่อาจมีการปลุกระดมจนเกิดความวุนวาย จึงอยากให้ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ สู่ในเชิงกฎหมายอย่าเอามวลชนมากดดัน ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ควรใช้ท่าที่แข็งกร้าว พูดยั่วยุหรือพูดให้เกิดความขัดแย่ง
นอกจากนี้ ยังต้องสอบถามถึงข้อกฎหมายว่าเป็นอย่างไร เพื่อที่การดำเนินการ ทุกอย่างจะไม่ถูกดึงมาเป็นประเด็นการเมือง ซึ่งการถอดยศต้องทำให้เห็นชัดเจนว่า ไม่มีการเลือกปฏิบัติ กรณีของ พ.ต.ท.ทักษิณควรจะถูกถอดยศ หากเข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย
ผมเป็นกมธ.มานาน มั่นใจว่าจะไม่อยู่ในเกมการเมืองของพรรคเพื่อไทยและไม่อยากให้กมธ.เป็นเครื่องมือทางการเมือง ผมจะคอยดูแลไม่ให้มีการข่มขู่หน่วยงาน ที่เกี่ยวงข้อง ที่เข้ามาชี้แจงจนทำให้ไม่กล้าปฏิบัติหน้าที่ รับรองได้ว่า นายประชาจะไม่สามารถใช้เวทีของ กมธ.เพื่อช่วยพ.ต.ท.ทักษิณได้อย่างแน่นอน หากจะมีการดำเนินการอะไร ทุกอย่างจะต้องอยู่ในข้อบังคับของกมธ.
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การถอดยศของ พ.ต.ท.ทักษิณ มีขั้นตอนและกระบวนการที่ดำเนินการมานานแล้ว รัฐบาลไม่ได้เร่งรัดตามที่ถูกฝ่ายค้านกล่าวหา และไม่ทราบว่าเรื่องนี้จะบังเกิดผลในการปฏิบัติเมื่อใด เพราะต้องเป็นไปตามขั้นตอน แต่ก็ยังมีแกนนำ นปช.และคนในพรรคเพื่อไทย ออกมาแก้เกี้ยว โดยมีความพยายามกล่าวหา และพาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์ในยุคของนายชวน หลีกภัย ที่เป็นนายกรัฐมนตรี ว่า มีการคืนยศทหารให้ จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งกรณีนี้ขอยืนยันว่า จอมพลถนอม ไม่ได้ถูกถอดยศใดๆ และพรรคประชาธิปัตย์ โดยรัฐบาลของนายชวน เองก็ไม่ได้คืนยศ ให้ตามที่ถูกกล่าวหา จึงขอเรียกร้องให้แกนนำคนเสื้อแดงกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร และไม่อยากให้ตีสำนวนข้างๆ คูๆว่า พ.ต.ท.ทักษิณถูกปลด แต่คืนยศให้ทรราชย์ ซึ่งเป็นการใช้สำนวนโวหารที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง
ส่วนที่นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ขู่ว่า การถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำให้บ้านเมืองลุกเป็นไฟนั้นนายเทพไท กล่าวว่า เป็นการ พูดข่มขู่สังคม และปลุกระดมคนเสื้อแดง ที่ต้องการหาเหตุผลในการเคลื่อนไหว เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยากให้การเมืองวุ่นวาย คนเสื้อแดงจึงไม่มีเหตุในการเคลื่อนไหวอีก
สำหรับการตั้งกระทู้ถามสดของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ในการนำข้าราชการทหารและตำรวจระดับชั้นนายพลเข้าเฝ้าฯนั้น นายเทพไท กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ ได้ชี้แจงกรณีดังกล่าวหลายครั้ง แต่นายจตุพรก็ยังนำเรื่องนี้มาพูด เพื่อโยงมาเรื่องความจงรักภักดีที่สังคมยังคลางแคลงใจในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ จึงยกกรณีของนายอภิสิทธิ์ มากล่าวอ้าง ซึ่งหน้าที่การนำเข้าเฝ้าฯนั้น รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ก็สามารถทำได้ตามสายงาน และตามประเพณีปฏิบัติ ถือว่าทำได้ ดังนั้น การพูดเรื่องนี้อีกครั้งจึงเป็นการใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ ในเรื่องความจงรักภักดี เหมือนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ เข้าเฝ้าฯ เพื่อรับฟังพระบรมราโชวาท ซึ่งมีการโจมตีว่าไม่บังควร โดยนายอภิสิทธิ์ ได้ฟ้องดำเนินคดีผู้กล่าวหาแล้ว
เรื่องนี้หากนายจตุพรอยากพูด ก็ขอให้มาพูดนอกสภาฯ เพราะจะได้ไม่มีเอกสิทธิ์ส.ส.คุ้มครองและนายอภิสิทธิ์ สามารถฟ้องร้องได้
นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่าว่า พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นห่วงและกังวลว่าเรื่องการถอดยศและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเกิดความรุนแรง เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ อาจไม่รู้สึกอะไร แต่อาจมีการปลุกระดมจนเกิดความวุนวาย จึงอยากให้ทนายความของ พ.ต.ท.ทักษิณ สู่ในเชิงกฎหมายอย่าเอามวลชนมากดดัน ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ควรใช้ท่าที่แข็งกร้าว พูดยั่วยุหรือพูดให้เกิดความขัดแย่ง