“บิค” รุกหนัก บริษัทแม่เปิดแผนลุยตลาดเอเซียเต็มแรง เล็งผุดฐานผลิต หวังลดภาษีนำเข้าและค่าขนส่ง ทั้งเทคโอเวอร์และลงทุนเอง ส่วนในไทยพร้อมขยายช่องทางเทรดดิชันนัลเทรดมากขึ้น
นายสิทธิพันธ์ คันธบงกช ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ผลิตภัณฑ์ บิค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นโยบายของบริษัทแม่จากประเทศฝรั่งเศสจากนี้จะเริ่มให้ความสำคัญกับตลาดและลงทุนในภาคพื้นเอเชียมากขึ้น หลังจากที่เริ่มทำตลาดเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่และมีโอกาสเติบโต จากขณะนี้มีสัดส่วนรายได้เพียง 2% ของบริษัทแม่ ขณะที่ตลาดในยุโรปและอเมริกานั้นเป็นตลาดที่ใหญ่แต่ก็ทำมานานและเริ่มอยู่ตัวแล้ว
แนวทางจะมีทั้งการลงทุนสร้างฐานการผลิต ไม่ว่าจะเป็น การเทคโอเวอร์ การลงทุนเอง หรือการร่วมทุน ซึ่งเริมดำเนินการไปแล้วที่ จีนโดยลงทุนเอง และที่อินเดียด้วยการเข้าซื้อหุ้น 40% ในโรงงานผลิตเครื่องเขียน เซลโล และจะทยอยซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทุกวันนี้รีจินัลออฟฟิศอยู่ที่สิงคโปร์ ส่วนประเทศที่บริษัทแม่ตั้งบริษัทลูกคือ ที่ ไทยสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลี และมาเลเซีย ซึ่งไทยเป็นศูนยย์กลางในเรื่องของการทำบรรจุสินค้าและส่งออกอีกทอดหนึ่ง ส่วนประเทศอื่นใช้รูปแบบตั้งดิสทริบิวเตอร์
“บริษัทแม่เน้นตลาดเอเชียมากขึ้น การตั้งโรงงานจะทำให้เอเชียสามารถลดต้นทุนค่าขนส่ง ลดต้นทุนด้านภาษี เพราะว่าสูงมาก คือ ไฟแช็ค ภาษี 20% มีดโกน ภาษี 20% และเครื่องเขียน 5% ซึ่งทุกวันนี้นำเข้าจากต่างประเทศเช่น ไฟแช็คจากประเทศสเปนและฝรั่งเศส ปากกาจากญี่ปุ่น บราซิล อินเดีย ส่วนเครื่องเขียนจากอเมริกา ญี่ปุ่น จีน อินเดีย เป็นต้น จากโรงงานของบิคเองทั้งหมด”
ทั้งนี้สินค้าที่ทำตลาดในเอเชียและไทยจะมีแต่กลุ่มเครื่องเขียน ไฟแช็ค และมีดโกนหนวด เท่านั้น ขณะที่บริษัทฯแม่มีสินค้าหลากหลายไม่ว่าจะเป็น มือถือสำหรับผู้สูงวัย เซิร์ฟบอร์ด ถุงน่อง เป็นต้น สำหรับแผนธุรกิจในไทยนั้น นายสิทธิพันธ์ กล่าวว่า จะขยายช่องทางจำหน่ายสู่เทรดดิชันนัลเทรดให้เป็น 25-30% จากเดิมที่มี 20% และช่องทางโมเดิร์นเทรดเหลือ 70-75% จากเดิมที่มี 80% โดยว่าจ้างให้บริษัท ซีพีคอนซูเมอร์ จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายและกระจายสินค้าช่องทางร้านค้าปลีกรายย่อย
นอกจากนั้นจะมุ่งเน้นการทำตลาดกลุ่ม ไฟแช็คมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 10% ของรายได้รวม และมีส่วนแบ่ง 5-10% จากตลาดรวม ส่วนกลุ่มมีดโกน สัดส่วนรายได้ 30% ส่วนแบ่ง 7% จากมูลค่าตลาดรวมมีดโกนกว่า 1,000ล้านบาท ส่วนกลุ่มเครื่องเขียน มีสัดส่วนรายได้กว่า 60% มีส่วนแบ่งไม่ถึง 1% ในแบรนด์บิค และมีส่วนแบ่ง 10% สำหรับแบรนด์เชฟเฟอร์
ล่าสุดได้รุกตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์โกนหนวด เพราะเป็นตลาดที่เติบโต จากมูลค่าตลาด 1,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มมีดโกนใช้แล้วทิ้ง 42% กลุ่มมีดโกนเปลี่ยนใบมีด 40% และกลุ่มใบมีดในลักษณะ 2 คม สัดส่วน 18% บริษัทฯได้เปิดตัวมีดโกน “บิค โซเลย์ ชิมเมอร์ คลิ๊ก” แบบ 3 ใบมีด เจาะกลุ่มผู้หญิงโดยเฉพาะ เนื่องจากผู้บริโภคผู้หญิงใช้เพียง 20% และ 80% เป็นผู้ชาย โดยวางงบการตลาด 10 ล้านบาท จากงบรวม 25-30 ล้านบาท และผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 105% หรือมีรายได้รวม 200 ล้านบาท จากเมื่อปี 2546 บริษัทแม่ทำตลาดการเติบโตเฉลี่ย 10% ทุกปี
นายสิทธิพันธ์ คันธบงกช ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ผลิตภัณฑ์ บิค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า นโยบายของบริษัทแม่จากประเทศฝรั่งเศสจากนี้จะเริ่มให้ความสำคัญกับตลาดและลงทุนในภาคพื้นเอเชียมากขึ้น หลังจากที่เริ่มทำตลาดเมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมา เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่และมีโอกาสเติบโต จากขณะนี้มีสัดส่วนรายได้เพียง 2% ของบริษัทแม่ ขณะที่ตลาดในยุโรปและอเมริกานั้นเป็นตลาดที่ใหญ่แต่ก็ทำมานานและเริ่มอยู่ตัวแล้ว
แนวทางจะมีทั้งการลงทุนสร้างฐานการผลิต ไม่ว่าจะเป็น การเทคโอเวอร์ การลงทุนเอง หรือการร่วมทุน ซึ่งเริมดำเนินการไปแล้วที่ จีนโดยลงทุนเอง และที่อินเดียด้วยการเข้าซื้อหุ้น 40% ในโรงงานผลิตเครื่องเขียน เซลโล และจะทยอยซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทุกวันนี้รีจินัลออฟฟิศอยู่ที่สิงคโปร์ ส่วนประเทศที่บริษัทแม่ตั้งบริษัทลูกคือ ที่ ไทยสิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลี และมาเลเซีย ซึ่งไทยเป็นศูนยย์กลางในเรื่องของการทำบรรจุสินค้าและส่งออกอีกทอดหนึ่ง ส่วนประเทศอื่นใช้รูปแบบตั้งดิสทริบิวเตอร์
“บริษัทแม่เน้นตลาดเอเชียมากขึ้น การตั้งโรงงานจะทำให้เอเชียสามารถลดต้นทุนค่าขนส่ง ลดต้นทุนด้านภาษี เพราะว่าสูงมาก คือ ไฟแช็ค ภาษี 20% มีดโกน ภาษี 20% และเครื่องเขียน 5% ซึ่งทุกวันนี้นำเข้าจากต่างประเทศเช่น ไฟแช็คจากประเทศสเปนและฝรั่งเศส ปากกาจากญี่ปุ่น บราซิล อินเดีย ส่วนเครื่องเขียนจากอเมริกา ญี่ปุ่น จีน อินเดีย เป็นต้น จากโรงงานของบิคเองทั้งหมด”
ทั้งนี้สินค้าที่ทำตลาดในเอเชียและไทยจะมีแต่กลุ่มเครื่องเขียน ไฟแช็ค และมีดโกนหนวด เท่านั้น ขณะที่บริษัทฯแม่มีสินค้าหลากหลายไม่ว่าจะเป็น มือถือสำหรับผู้สูงวัย เซิร์ฟบอร์ด ถุงน่อง เป็นต้น สำหรับแผนธุรกิจในไทยนั้น นายสิทธิพันธ์ กล่าวว่า จะขยายช่องทางจำหน่ายสู่เทรดดิชันนัลเทรดให้เป็น 25-30% จากเดิมที่มี 20% และช่องทางโมเดิร์นเทรดเหลือ 70-75% จากเดิมที่มี 80% โดยว่าจ้างให้บริษัท ซีพีคอนซูเมอร์ จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายและกระจายสินค้าช่องทางร้านค้าปลีกรายย่อย
นอกจากนั้นจะมุ่งเน้นการทำตลาดกลุ่ม ไฟแช็คมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้ 10% ของรายได้รวม และมีส่วนแบ่ง 5-10% จากตลาดรวม ส่วนกลุ่มมีดโกน สัดส่วนรายได้ 30% ส่วนแบ่ง 7% จากมูลค่าตลาดรวมมีดโกนกว่า 1,000ล้านบาท ส่วนกลุ่มเครื่องเขียน มีสัดส่วนรายได้กว่า 60% มีส่วนแบ่งไม่ถึง 1% ในแบรนด์บิค และมีส่วนแบ่ง 10% สำหรับแบรนด์เชฟเฟอร์
ล่าสุดได้รุกตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์โกนหนวด เพราะเป็นตลาดที่เติบโต จากมูลค่าตลาด 1,000 ล้านบาท แบ่งสัดส่วนเป็น กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มมีดโกนใช้แล้วทิ้ง 42% กลุ่มมีดโกนเปลี่ยนใบมีด 40% และกลุ่มใบมีดในลักษณะ 2 คม สัดส่วน 18% บริษัทฯได้เปิดตัวมีดโกน “บิค โซเลย์ ชิมเมอร์ คลิ๊ก” แบบ 3 ใบมีด เจาะกลุ่มผู้หญิงโดยเฉพาะ เนื่องจากผู้บริโภคผู้หญิงใช้เพียง 20% และ 80% เป็นผู้ชาย โดยวางงบการตลาด 10 ล้านบาท จากงบรวม 25-30 ล้านบาท และผลประกอบการปีนี้ตั้งเป้าเติบโต 105% หรือมีรายได้รวม 200 ล้านบาท จากเมื่อปี 2546 บริษัทแม่ทำตลาดการเติบโตเฉลี่ย 10% ทุกปี