ศูนย์ข่าวศรีราชา – สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เริ่มมีให้เห็นเด่นชัดในพื้นที่ ตอ. ไม่ว่าจะเป็นการประกาศรับสมัครงานของกลุ่มโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมที่มีอยู่รายรอบ เพื่อรองรับคำสั่งซื้อสินค้าของกลุ่มลูกค้าต่างชาติ รวมถึงการขยายการลงทุนของกลุ่มทุนใหญ่ ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่ภาคตะวันออกเริ่มขยับตัวรับทิศทางตลาดที่มีแนวโน้มจะกลับมาสดใส แม้จะยังไม่มีอัตราการเติบโตที่ดีเทียบเท่ากับหลายปีก่อนทั้งเปิดให้บริการศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางครบวงจร การทุ่มงบฯในการพัฒนาเครื่องมือทางการแพทย์และเพิ่มระบบงานบริการเพื่อเอาใจกลุ่มคนไข้
นายแพทย์ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลสมิติเวช ศรีราชา เผยถึงภาพรวมของธุรกิจ Health Care ในภาคตะวันออกว่า ยังคงมีการเติบโตต่อเนื่องแต่ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจรูปแบบการเติบโตจะเป็นไปในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่การเติบโตแบบก้าวกระโดดเช่นหลายปีก่อนทั้งนี้การแข่งขันในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในพื้นที่ภาคตะวันออกและจังหวัดชลบุรีนับจากช่วงต้นปี 2552 ถึงปัจจุบันถือว่าไม่รุนแรงเพราะผู้ประกอบการแต่ละราย มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ไม่ทับซ้อนกัน เพียงแต่ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำผู้ประกอบการจะให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจในลักษณะประคองตัว
โดยคาดว่าในไตรมาสที่ 4 ของปี 2552-53 ภาพการเติบโตทางธุรกิจจะชัดเจนขึ้นจากปัจจัยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่เริ่มมีให้เห็นจากภาวะการจ้างงานของโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่มีอยู่ในพื้นที่ และข่าวการขยายการลงทุนทั้งภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวของกลุ่มทุนทั้งในและต่างประเทศ
“ทิศทางของธุรกิจ Health Careในภาคตะวันออกในปี 2553 น่าจะดีกว่าปี 2552 แต่ก็คงเป็นการเติบโตที่ยังไม่มากนัก ซึ่งรูปแบบการทำตลาดเพื่อรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของผู้ประกอบการแต่ละรายก็จะไม่เหมือนกัน แต่ในส่วนของสมิติเวช ศรีราชา จะยังคงเน้นในเรื่องของคุณภาพการรักษาและงานบริการ ซึ่งขณะนี้เราได้จัดแพกเกจการรักษาเพื่อประกันราคาให้กับผู้ป่วย ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลของตนเองได้ ส่วนการลงทุนขนาดใหญ่ก็ยังคงอยู่ในแผนงานที่จะต้องรอดูภาวะเศรษฐกิจประกอบด้วย ”
นพ.ชัยรัตน์ ยังเผยถึงการลงทุนด้านการแพทย์ในปี 2552ว่า โรงพยาบาลได้ใช้งบประมาณจำนวนหนึ่งสำหรับเปิดศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางที่ตรงกับปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน โดยเฉพาะศูนย์อุบัติเหตุที่มีความพร้อมทางด้านแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะให้การรักษาตลอด 24 ชั่วโมงและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่พร้อมช่วยชีวิตในจุดเกิดเหตุ เนื่องจากพื้นที่ภาคตะวันออก มีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญจำนวนมากทำให้มีผู้เดินทางตลอดเวลา ซึ่งการเปิดศูนย์แห่งนี้สามารถตอบโจทย์ การรักษาในพื้นที่ได้เป็นอย่างดี และยังมีศูนย์กระดูกครบวงจร ศูนย์หัวใจ ฯลฯที่สามารถรองรับผู้ป่วยหนักและยังลดการเดินทางเข้ารับการรักษาในกรุงเทพฯ ของกลุ่มผู้ป่วยหนัก ซึ่งปัจจุบันพบว่ากลุ่มคนไข้ที่เคยเข้ารับการรักษาในกรุงเทพฯ หันมาใช้บริการของโรงพยาบาลมากขึ้น
ด้าน นพ.พิชิต กังวลกิจ ผอ.โรงพยาบาลกรุงเทพพัทยาเผยว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปลายปี 2551 จนถึงปัจจุบันส่งผลกระทบต่อการดำเนิน งานของโรงพยาบาลไม่มากนักเมื่อเทียบกับสัดส่วนรายรับซึ่งใกล้เคียงกับปีก่อน โดยกลุ่มคนไข้ต่างชาติที่ลดน้อยลงเป็นเพียงกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาพักผ่อนในเมืองพัทยา ซึ่งก็เป็นไปตามผลกระทบทางการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ
ทั้งนี้ สัญญาณทางเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวทำให้โรงพยาบาลฯ มีความมั่นใจที่จะเดินหน้าพัฒนาศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางเพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางเมดิคัลทัวรึซัมในไทย และนอกจากโรงพยาบาลฯจะทุ่มงบประมาณจำนวนหนึ่งในการเพิ่มขีดความสามารถของศูนย์หัวใจให้ความสามารถผ่าตัดหัวใจ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้เข้ารับการรักษาคือกลุ่มคนไข้ต่างชาติแล้ว ยังนำเครื่อง EP ( Electrophysiology) เข้ามาช่วยในการตรวจวินิจฉัยอาการโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะอีกด้วย และเมื่อไม่นานมานี้ยังเปิดให้บริการศูนย์การได้ยิน การทรงตัวและเสียงในหู ที่มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญฝีมือระดับชาติเข้าดูแล ซึ่งถือได้ว่าเป็นศูนย์การได้ยินที่มีความพร้อมที่สุดในภาคตะวันออก
รวมทั้งเปิดให้บริการศูนย์ตา เพื่อรองรับการผ่าตัดเปลี่ยนเลนส์ตา หรือ Super Sight Surgery สำหรับรักษาผู้ที่มีสายตายาว ตลอดจนการพัฒนาศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางต่างๆให้มีความพร้อมทั้งเครื่องมือและบุคลากรทางการแพทย์
“ในปีหน้ายังมีแผนเปิดตลาดคนไข้ใหม่ในต่างประเทศ ซึ่งที่ผ่านมาได้ส่งทีมแพทย์และทีมการตลาดเข้าไปทำตลาดในประเทศโอมาน ซึ่งถือเป็นตลาดที่น่าสนใจและมีศักยภาพสูงเช่นเดียวกับหลายประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง โดยเมื่อเร็วๆ นี้ยังได้ร่วมออกบูธในงานเอ็กซิบิชันที่ประเทศโอมานจัดขึ้น พร้อมให้ทีมแพทย์อยู่ประจำบูธเพื่อให้คำแนะนำ รวมทั้งตอบข้อสงสัยต่างๆ ทำให้โรงพยาบาลฯ เป็นที่รู้จักในกลุ่มชาวโอมานและเริ่มมีการเดินทางเข้ารับการรักษาบางแล้ว ” นายแพทย์พิชิต กล่าว
ขณะที่โรงพยาบาลพญาไท ศรีราชา ใช้งบประมาณจำนวนหนึ่งในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการรักษาโรคเพื่อฉลองการดำเนินงานครบ 15 ปี ล่าสุดยังจัดพิธีเปิดศูนย์โรคสมองและระบบประสาท หลังที่ผ่านมาศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางต่างๆ โดยเฉพาะศูนย์รักษาผุ้มีบุตรยากได้รับการยอมรับทั้งจากกลุ่มคนไข้ชาวไทยและต่างชาติไปแล้ว โดยศูนย์รักษาโรคเฉพาะทางล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้บริการนี้ นอกจากจะมีเครื่องมือที่ทันสมัยและทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้วการรักษายังเทียบเท่าระดับสากล
โดยในช่วงต้นปี 2552 ยังทุ่มงบประมาณไม่น้อยกว่า 70 ล้านบาท นำเข้าเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง CT 64 Slices และเครื่อง MRI เพื่อใช้ในการวินิจฉัยโรคทางสมอง ระบบประสาท โรคทางหัวใจ โรคทางลำไส้ ภายในศูนย์รักษาโรคทางระบบประสาทและศูนย์รักษาโรคทางหัวใจอีกด้วย