บุรีรัมย์ - สรรพากรพื้นที่บุรีรัมย์ เผยปีงบ 52 จัดเก็บภาษีได้รวม 1,214 ล้าน เกินเป้า 6% พร้อมตามเก็บภาษีค้างจ่ายสะสมได้ทะลุเป้ากว่า 52 ล้าน จากยอดค้างสะสม 120 ล้าน เตือนผู้ที่มีเงินได้ระวังกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพโทรศัพท์ อ้างตัวเป็น จนท.หลอกลวงจะคืนเงินภาษีให้โดยให้ทำรายการผ่านตู้เอทีเอ็ม หลังมี ปชช.ถูกกลุ่มคนดังกล่าวโทร.หลอกหลายราย
นางพรรณอร ประยงค์ สรรพากรพื้นที่บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2552 สรรพากรพื้นที่บุรีรัมย์ ได้ตั้งเป้าประมาณการจัดเก็บภาษีไว้กว่า 1,145 ล้านบาท แต่สามารถจัดเก็บภาษีได้สูงถึง 1,214 ล้านบาท เกินกว่าเป้าประมาณการที่ตั้งไว้ถึง 6% อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มบุคคลและผู้ประกอบธุรกิจ ค้างจ่ายภาษีเป็นยอดสะสมอยู่กว่า 120 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งทางสรรพากรได้ออกเร่งรัดอย่างต่อเนื่อง ในปีงบประมาณที่ผ่านมา สามารถติดตามเร่งรัดเก็บภาษีอากรที่ค้างจ่ายได้แล้วกว่า 52 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าไว้ 33 ล้านบาท ส่วนที่เหลือกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการตามระเบียบ โดยเบื้องต้นจะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปเร่งรัด และแจ้งเตือนด้วยวาจา หากยังไม่มาติดตามหรือชำระ ก็จะออกหนังสือแจ้งเตือน 2 ครั้งๆ ละ 30 วัน หากยังฝ่าฝืนไม่มาชำระก็จะใช้มาตรการยึดอายัดทรัพย์ขายทอดตลาด ตามอำนาจหน้าที่ของกฎหมายกำหนด
“จึงขอแจ้งเตือนกลุ่มบุคคลหรือผู้ประกอบธุรกิจทุกประเภท ให้มาติดต่อขอชำระภาษีรายได้ และภาษีค้างจ่ายที่สำนักงานสรรพากรจังหวัดฯ หากผู้ประกอบการ หรือบุคคลใดหลีกเลี่ยงฝ่าฝืนไม่มาชำระภาษี ก็จะถูกดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายทั้งแพ่งและอาญา” นางพรรณอร กล่าว
นางพรรณอร ยังได้กล่าวแจ้งเตือนประชาชนผู้มีเงินได้ให้ระวังถูกกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพโทรศัพท์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร หลอกลวงว่าจะโอนเงินคืนเงินภาษีให้ โดยให้ผู้มีเงินได้ที่เสียภาษีไปทำรายการผ่านตู้เอทีเอ็มของธนาคาร หลังจากที่ผ่านมาได้มีประชาชนถูกกลุ่มแก๊งดังกล่าวโทรศัพท์เข้ามาหลอกลวง และได้โทรศัพท์มาสอบถามเจ้าหน้าที่สรรพากรหลายราย
โดยกรณีดังกล่าวทางกรมสรรพากรไม่มีนโยบาย ที่จะโอนเงินคืนภาษีให้กับผู้เสียภาษีแต่อย่างใด แต่จะจ่ายคืนให้เป็นเช็คเงินสดเท่านั้น หากประชาชนรายใดถูกกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว สามารถโทรศัพท์มาติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานสรรพากรจังหวัด หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ใกล้เคียง เพื่อติดตามหาตัวกลุ่มบุคคลดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางสรรพากรจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ออกมาประกาศแจ้งเตือนผ่านสถานีวิทยุ หอกระจายข่าว พร้อมปิดประกาศตามตู้ เอทีเอ็ม ของธนาคาร และสถานที่ต่างๆ ในทุกอำเภอ เพื่อประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนไม่ให้หลงเชื่อกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้สูญเสียทรัพย์สินได้
นางพรรณอร ประยงค์ สรรพากรพื้นที่บุรีรัมย์ เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2552 สรรพากรพื้นที่บุรีรัมย์ ได้ตั้งเป้าประมาณการจัดเก็บภาษีไว้กว่า 1,145 ล้านบาท แต่สามารถจัดเก็บภาษีได้สูงถึง 1,214 ล้านบาท เกินกว่าเป้าประมาณการที่ตั้งไว้ถึง 6% อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มบุคคลและผู้ประกอบธุรกิจ ค้างจ่ายภาษีเป็นยอดสะสมอยู่กว่า 120 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งทางสรรพากรได้ออกเร่งรัดอย่างต่อเนื่อง ในปีงบประมาณที่ผ่านมา สามารถติดตามเร่งรัดเก็บภาษีอากรที่ค้างจ่ายได้แล้วกว่า 52 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าไว้ 33 ล้านบาท ส่วนที่เหลือกำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการตามระเบียบ โดยเบื้องต้นจะส่งเจ้าหน้าที่ออกไปเร่งรัด และแจ้งเตือนด้วยวาจา หากยังไม่มาติดตามหรือชำระ ก็จะออกหนังสือแจ้งเตือน 2 ครั้งๆ ละ 30 วัน หากยังฝ่าฝืนไม่มาชำระก็จะใช้มาตรการยึดอายัดทรัพย์ขายทอดตลาด ตามอำนาจหน้าที่ของกฎหมายกำหนด
“จึงขอแจ้งเตือนกลุ่มบุคคลหรือผู้ประกอบธุรกิจทุกประเภท ให้มาติดต่อขอชำระภาษีรายได้ และภาษีค้างจ่ายที่สำนักงานสรรพากรจังหวัดฯ หากผู้ประกอบการ หรือบุคคลใดหลีกเลี่ยงฝ่าฝืนไม่มาชำระภาษี ก็จะถูกดำเนินการเอาผิดตามกฎหมายทั้งแพ่งและอาญา” นางพรรณอร กล่าว
นางพรรณอร ยังได้กล่าวแจ้งเตือนประชาชนผู้มีเงินได้ให้ระวังถูกกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพโทรศัพท์อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สรรพากร หลอกลวงว่าจะโอนเงินคืนเงินภาษีให้ โดยให้ผู้มีเงินได้ที่เสียภาษีไปทำรายการผ่านตู้เอทีเอ็มของธนาคาร หลังจากที่ผ่านมาได้มีประชาชนถูกกลุ่มแก๊งดังกล่าวโทรศัพท์เข้ามาหลอกลวง และได้โทรศัพท์มาสอบถามเจ้าหน้าที่สรรพากรหลายราย
โดยกรณีดังกล่าวทางกรมสรรพากรไม่มีนโยบาย ที่จะโอนเงินคืนภาษีให้กับผู้เสียภาษีแต่อย่างใด แต่จะจ่ายคืนให้เป็นเช็คเงินสดเท่านั้น หากประชาชนรายใดถูกกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพหลอกลวงในลักษณะดังกล่าว สามารถโทรศัพท์มาติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานสรรพากรจังหวัด หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่ใกล้เคียง เพื่อติดตามหาตัวกลุ่มบุคคลดังกล่าวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางสรรพากรจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ออกมาประกาศแจ้งเตือนผ่านสถานีวิทยุ หอกระจายข่าว พร้อมปิดประกาศตามตู้ เอทีเอ็ม ของธนาคาร และสถานที่ต่างๆ ในทุกอำเภอ เพื่อประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนไม่ให้หลงเชื่อกลุ่มแก๊งมิจฉาชีพดังกล่าว ซึ่งอาจทำให้สูญเสียทรัพย์สินได้
