ASTVผู้จัดการรายวัน – ทัพสินค้านมผงเด็ก แห่ใช้กลยุทธ์ปรับสูตรนมพรีเมียมใหม่ พร้อมโขกราคาสินค้าเพิ่มโดยเฉลี่ย 7% หวังดันตลาดโต แก้เกี้ยวอัตราการเกิดเด็กติดลบ 1% กระทบตลาดนมผงโตลดลง 2 ปีซ้อน ดูเม็กซ์ ไฮคิว เท 200 ล้านบาท ปรับโฉมและสูตรใหม่ ขยับราคาเพิ่มไม่ถึง 5% ใช้กลยุทธ์ลดปริมาณราคาเดิม สิ้นปีรั้งบัลลังก์ผู้นำกวาดแชร์ 31-32%
นางสาวมนต์จันทร์ พฤกษ์วิมลพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ดูเม็กซ์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมผงสำหรับเด็กดูเม็กซ์ เปิดเผยว่า ปีนี้ภาพรวมตลาดนมผงสำหรับเด็กในเซกเมนต์พรีเมียม ได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 7% จากการที่ผู้ประกอบการทยอยปรับสูตรนมผงใหม่ลงสู่ตลาด ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นตลาดให้มีอัตราการเติบโต รองรับกับอัตราการเกิดของเด็กไทยติดลบ 1% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือมีเด็กเกิด 8 แสนคนต่อปี ส่งผลให้ตลาดนมผงสำหรับเด็ก 1.2 หมื่นล้านบาท ปีนี้เติบโต 3.5% จากเมื่อปี 2551 เติบโต 5% และปี 2550 เติบโต 7% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
ดังนั้นผู้ประกอบการจึงหันมาโฟกัสตลาดนมผงระดับพรีเมียม เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่มีมูลค่า 7,200 ล้านบาท หรือ 60% ของตลาดรวม และกลุ่มเป้าหมายมีกำลังการซื้อ การปรับราคา หรือในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไม่ส่งผลกระทบต่อเซกเมนต์นี้มากนัก โดยนมผงระดับพรีเมียม 7,200 ล้านบาท ปีนี้เติบโต 5% ซึ่งหากเศรษฐกิจดีเติบโตเป็นตัวเลขมากกว่า 10% ส่วนระดับสแตนดาร์ด 3,600 ล้านบาท ไม่มีการเติบโตในช่วง 2 ปีนี้ จากการที่คุณแม่หันไปซื้อสินค้านมผงระดับล่างทดแทน ดังนั้นนมผงระดับล่างจึงมีอัตราการเติบโต 7-8% จากมูลค่า 1,200 ล้านบาท
ล่าสุดปรับโฉมดูเม็กซ์ ไฮคิว ในรอบ 2 ปี ภายใต้สูตรใหม่พรีไบไอโพรเทก ที่เพิ่มปริมาณดีเอชเอ 5 เท่า หรือ 25 มล. เพื่อสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายคุณแม่ยุคใหม่ที่เห็นความสำคัญของภูมิต้านทาน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับราคาขึ้นไม่ถึง 5% โดยใช้กลยุทธ์ลดปริมาณแต่จำหน่ายราคาเดิม อาทิ ขนาด 650 กรัม เหลือเป็น 600 กรัม ราคา 240 บาท หรือขนาด 1,950 กรัม เหลือ 1,800 กรัม ราคา 670 บาท นอกจากนี้บริษัทยังได้ปรับบรรจุภัณฑ์ใหม่ เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของการเป็นสินค้าระดับพรีเมียม
โดยบริษัทได้ทุ่มงบการตลาด 200 ล้านบาท ดำเนินการตลาด 360 องศา ผ่านสื่อโฆษณาโทรทัศน์ วิทยุ การจัดกิจกรรมการตลาด และเข้าถึงบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนการป้อนข้อมูลความรู้ผ่านเว็บไซต์ ทั้งนี้การปรับสูตรใหม่ ได้ทยอยเปิดตัวในประเทศจีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และล่าสุดประเทศไทย โดยบริษัทตั้งเป้าปรับสูตรใหม่เพิ่มส่วนแบ่ง 1-2% จากปัจจุบันดูเม็กซ์ เป็นผู้นำตลาดโดยรวม 1.2 หมื่นล้านบาท ครองส่วนแบ่ง 30% มีท จอห์นสัน 28% และเนสท์เล่กว่า 10%
นางสาวมนต์จันทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลทางประชากร มีครัวเรือนที่มีเด็ก 5 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็น ครอบครัวระดับพรีเมียม 2 ล้านครัวเรือน และอีก 3 ล้านครัวเรือนระดับกลางและล่าง ซึ่งจากสภาพตลาดที่ไม่เติบโตมากนัก ส่งผลให้ให้การแข่งขันของตลาดมีความรุนแรงเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด โดยปีนี้ผู้ประกอบการทุ่มงบโฆษณาเพิ่มขึ้น 10% ผ่านการใช้พรีเซ็นเตอร์แม่และลูก นอกจากนี้ยังชูความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ด้านภูมิต้านทานในช่วง 5 ปีนี้ จากเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมาการแข่งขันมุ่งเน้นสูตรที่พัฒนาทางสมองสำหรับเด็ก อย่างไรก็ตามสำหรับประกอบการกลุ่มนมผงดูเม็กซ์ ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 5% เท่ากับตลาดโดยรวม
********
นางสาวมนต์จันทร์ พฤกษ์วิมลพันธ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ดูเม็กซ์ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายนมผงสำหรับเด็กดูเม็กซ์ เปิดเผยว่า ปีนี้ภาพรวมตลาดนมผงสำหรับเด็กในเซกเมนต์พรีเมียม ได้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 7% จากการที่ผู้ประกอบการทยอยปรับสูตรนมผงใหม่ลงสู่ตลาด ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นตลาดให้มีอัตราการเติบโต รองรับกับอัตราการเกิดของเด็กไทยติดลบ 1% ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หรือมีเด็กเกิด 8 แสนคนต่อปี ส่งผลให้ตลาดนมผงสำหรับเด็ก 1.2 หมื่นล้านบาท ปีนี้เติบโต 3.5% จากเมื่อปี 2551 เติบโต 5% และปี 2550 เติบโต 7% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
ดังนั้นผู้ประกอบการจึงหันมาโฟกัสตลาดนมผงระดับพรีเมียม เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่มีมูลค่า 7,200 ล้านบาท หรือ 60% ของตลาดรวม และกลุ่มเป้าหมายมีกำลังการซื้อ การปรับราคา หรือในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไม่ส่งผลกระทบต่อเซกเมนต์นี้มากนัก โดยนมผงระดับพรีเมียม 7,200 ล้านบาท ปีนี้เติบโต 5% ซึ่งหากเศรษฐกิจดีเติบโตเป็นตัวเลขมากกว่า 10% ส่วนระดับสแตนดาร์ด 3,600 ล้านบาท ไม่มีการเติบโตในช่วง 2 ปีนี้ จากการที่คุณแม่หันไปซื้อสินค้านมผงระดับล่างทดแทน ดังนั้นนมผงระดับล่างจึงมีอัตราการเติบโต 7-8% จากมูลค่า 1,200 ล้านบาท
ล่าสุดปรับโฉมดูเม็กซ์ ไฮคิว ในรอบ 2 ปี ภายใต้สูตรใหม่พรีไบไอโพรเทก ที่เพิ่มปริมาณดีเอชเอ 5 เท่า หรือ 25 มล. เพื่อสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายคุณแม่ยุคใหม่ที่เห็นความสำคัญของภูมิต้านทาน พร้อมกันนี้ยังได้ปรับราคาขึ้นไม่ถึง 5% โดยใช้กลยุทธ์ลดปริมาณแต่จำหน่ายราคาเดิม อาทิ ขนาด 650 กรัม เหลือเป็น 600 กรัม ราคา 240 บาท หรือขนาด 1,950 กรัม เหลือ 1,800 กรัม ราคา 670 บาท นอกจากนี้บริษัทยังได้ปรับบรรจุภัณฑ์ใหม่ เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ของการเป็นสินค้าระดับพรีเมียม
โดยบริษัทได้ทุ่มงบการตลาด 200 ล้านบาท ดำเนินการตลาด 360 องศา ผ่านสื่อโฆษณาโทรทัศน์ วิทยุ การจัดกิจกรรมการตลาด และเข้าถึงบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนการป้อนข้อมูลความรู้ผ่านเว็บไซต์ ทั้งนี้การปรับสูตรใหม่ ได้ทยอยเปิดตัวในประเทศจีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และล่าสุดประเทศไทย โดยบริษัทตั้งเป้าปรับสูตรใหม่เพิ่มส่วนแบ่ง 1-2% จากปัจจุบันดูเม็กซ์ เป็นผู้นำตลาดโดยรวม 1.2 หมื่นล้านบาท ครองส่วนแบ่ง 30% มีท จอห์นสัน 28% และเนสท์เล่กว่า 10%
นางสาวมนต์จันทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลทางประชากร มีครัวเรือนที่มีเด็ก 5 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็น ครอบครัวระดับพรีเมียม 2 ล้านครัวเรือน และอีก 3 ล้านครัวเรือนระดับกลางและล่าง ซึ่งจากสภาพตลาดที่ไม่เติบโตมากนัก ส่งผลให้ให้การแข่งขันของตลาดมีความรุนแรงเพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด โดยปีนี้ผู้ประกอบการทุ่มงบโฆษณาเพิ่มขึ้น 10% ผ่านการใช้พรีเซ็นเตอร์แม่และลูก นอกจากนี้ยังชูความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ด้านภูมิต้านทานในช่วง 5 ปีนี้ จากเมื่อ 10 ปี ที่ผ่านมาการแข่งขันมุ่งเน้นสูตรที่พัฒนาทางสมองสำหรับเด็ก อย่างไรก็ตามสำหรับประกอบการกลุ่มนมผงดูเม็กซ์ ตั้งเป้ามีอัตราการเติบโต 5% เท่ากับตลาดโดยรวม
********