xs
xsm
sm
md
lg

นั่งร้านปากพล่อย

เผยแพร่:   โดย: อัญชะลี ไพรีรัก

เมื่อวานนี้ไปงานครบรอบ 13 ปี ก้าวเข้าสู่ปีที่ 14 ของ “ไทยโพสต์” ได้เจอ “คนการเมือง” กับ “คอการเมือง” มากมายคละเคล้ากันไปสนุกดี

ที่น่ารักจนอยากเก็บมาเล่า เพราะว่าในจำนวนแขกมากมายมหาศาลที่ไปร่วมแสดงความยินดีกับ “ป๋าเปลว สีเงิน” นั้น...หลายคนเดินเกร่เข้ามาทักทายเจี๊ยวจ๊าวเสียงใส ขณะที่บางคนมองซ้ายทีขวาทีแล้วบรรจงป้องปากกระซิบข้างหูด้วยเสียงแสนเบ๊าเบาว่า “เป็นพันธมิตรฯ นะ”

ได้ยินได้เห็นอย่างนี้ก็เพียงพอและชื่นใจ แถมไม่อยากคุยว่า พันธมิตรฯ มีอยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง บางคนรู้จักกัน แต่บางคนไม่…ขณะที่บางคนอาจเป็นใครสักคนซึ่งเดินสวนผ่านกันไปมา ที่แน่ๆ พันธมิตรฯ ทุกคนต่างเคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาแล้วทั้งนั้นจนกระทั่งมีวันนี้ ...วันที่เราไม่มีวันลืมกัน และพันธกิจของเราไม่มีวันสูญเปล่า

เดินไปเดินมาหน้าบานได้สักพัก ก็ปะหน้าจ๊ะเอ๋กับ “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ” และในช่วงเวลาเล็กๆ ได้คุยกันสั้นๆ มันส์ดี

ปีนี้คุณสุวัจน์ อายุ 53 ปีแล้ว สุขภาพดีขึ้น หน้าตาแจ่มใสอิ่มเอิบ ไม่ผอมตอบอิดโรยเหมือนเก่า เขาเล่าว่าได้ “ยาดี” คือ “กีฬา” แม้ไม่ได้เล่นอะไรหักโหมมากมายอย่างใครเขา แต่เอากำลังกายและใจทั้งหมดทุ่มเทไปกับการสนับสนุน “เยาวชน” ให้เดินมั่นคงบนเส้นทางนักกีฬาอาชีพ ทั้งแบดมินตัน ทั้งเทนนิส เหมาหมดยกเข่ง มุ่งมั่นทำงานด้านสังคมกีฬาชนิดเอาเป็นเอาตายสลับกับการเลี้ยง “ชูชู” สุนัขพันธุ์ปั๊ก ที่กอดคอเคียงบ่าเคียงไหล่เป็นเพื่อนทุกข์เพื่อนตายบนถนนการเมืองมาด้วยกัน...ยาวนาน

ถามไถ่ตามประสาคนคุ้นเคยว่า ชีวิตตอนนี้เป็นอย่างไร....นักการเมืองใหญ่จากโคราชคนนี้บอกว่า “เบื่อ...การเมืองแบบนี้”

แม้สุวัจน์จะเหลือเวลาที่ถูก “คุกการเมือง” ขังไว้ร่วมกันเพื่อนๆ อีกมากมายใน “บ้านเลขที่ 111” อีก 2 ปีก็ตาม แต่เสือเขี้ยวตันอย่างเขาบอกว่า เวลา 2 ปีเรื่องเล็ก แต่เรื่องใหญ่ยิ่งกว่านั้นคือ บรรยากาศการเมืองในห้วงนี้เหลือที่คาดเดาได้จริงๆ เขาใช้คำว่า “ดูอึมครึม เวิ้งว้าง เดินหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ไหว”

เมื่ออากาศในการเมืองไม่ดี สุวัจน์ก็ไม่อยากสูดดม เขาจึงเลือกที่จะถอยห่างออกมา ซึ่งระยะก้าวนั้นเขาบอกว่า “มากกว่าครึ่งทาง” โดยมีเหตุผลแนบตามมาว่า “ถอยออกมาก็จะพอมองเห็นว่าอะไรเป็นอะไร”

สิ่งที่สุวัจน์เห็นด้วยดวงตานักการเมืองไทยผู้โชกโชน คือ ความขัดแย้งในบ้านเมืองที่ขยายตัว ลุ่มลึก และลามปามแทบจะหาจุดลงตัวเพื่อก้าวไปสู่บันไดขั้นแรกของการเริ่มต้นใหม่ไม่เจอ

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้สุวัจน์ให้เหตุผลว่า “การเมืองของเราขาดเสาหลักให้คู่กรณีได้พึ่งพิง”

อดีตหัวหน้าพรรคชาติพัฒนาศิษย์เอก พล.อ.อาทิตย์ กำลังเอกและก้นกุฏิจากซอยราชครู ย้อนวันวานประกอบการวิเคราะห์การเมืองไทยยุคนี้ว่า “ถ้าเป็นในอดีตเมื่อการเมืองมีปัญหา นักมวยคู่เอกจะถูกพาไปนั่งตรงหน้า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หรือ ต่อมาหน้าที่ “ท้าวมาลีวราช” ตกเป็นของ “พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ” แทน จากนั้นก็จับมือกันหรืออย่างเก่งแค่ไม่มองหน้ากัน แต่จะไม่เคยที่จะไม่เผาผีกัน”

เมื่อผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการเมืองเหลือน้อย เพราะบ้างจากลาและบ้างจำใจจากวงการ สุวัจน์ก็อธิบายต่อไปว่า “คนก็แบ่งพรรคแบ่งพวก แตกเป็นก๊กเป็นเหล่าแล้วฟาดฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตายชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนเดี๋ยวนี้ยังหาจุดจบไม่ได้เลย”

เมื่อถามต่อไปว่า อะไรคือจุดแตกร้าวยิ่งใหญ่ในการเมืองไทย เขาตอบทันทีว่า เป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงของคณะปฏิวัติที่ไม่สะเด็ดน้ำ และขังนักการเมืองในบ้านเลขที่ 111

ถึงตรงนี้เขาออกตัวแร๊งแรงว่า ไม่ใช่เพราะติดคุกการเมืองกับเขาด้วย แต่ความจริงที่เห็นจากวันวาน คือ เมื่อเวลาของทักษิณถูกขีดให้จบลงด้วยคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติแล้ว นาทีนั้นนักการเมืองทั้งหลายต่างเบนหัวเรือตีจากทักษิณทันที และพร้อมเตรียมสร้างกลุ่มการเมืองกันใหม่ เพื่อปลดแอกตัวเองออกจากปลอกคอทักษิณ ขณะเดียวกันก็พร้อมทำตามเข็มทิศของรถถัง

ต่อเมื่อเกิดกรณียุบพรรคขังรวม 111 และต่อมาเป็น 109 คนแล้ว นั่นละคือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้.... ซึ่งสุวัจน์เรียกว่า เป็นปฐมบทของการต่อกรของคนจนตรอกหลังพิงฝา ที่พัฒนากลายเป็นอาการของคนเด้งเชือกสู้ด้วยหมัดลุ่นๆ ไม่มีนวม ไม่มีรูปแบบและไร้กติกาจนถึงบัดนี้

เมื่อการเมืองไทยไหลมาถึงขั้นนี้ สุวัจน์จึงถอยฉากเต้นฟุตเวิร์กรอการกลับไปในบรรยากาศที่พร้อมกว่านี้ ส่วนช่วงนี้ก็ทำบุญ และสร้างเยาวชน “บรรยากาศไม่ดี ไม่น่าทำงานการเมือง เล่นกีฬาดีกว่า”

ครั้นถามกลับไปว่า จะรอถึงพอศอไหน...เพราะนักการเมืองไทยก็เหมือนปลา...ขาดน้ำได้เสียที่ไหนกัน แต่สุวัจน์สวนกลับทันควันเหมือนกันว่า รอแค่พอศอนี้ก็รู้ผล...เขาชี้นำให้มองไปวันข้างหน้า โดยดูจากเหตุการณ์ในวันนี้ วันที่พรรคภูมิใจไทยเรืองแสงได้ราวหิ่งห้อยอาศัยใต้ต้นลำพูสวย และเศรษฐกิจตกต่ำไม่มีทีท่าจะฟื้นตัวง่ายๆ

“ถ้าคิดจะสู้กับทักษิณด้วยการยกเอาเนวินขึ้นมาท้าชิง แล้วกะจะกวาดภาคอีสานซึ่งมีทั้งหมดทั้งเขตและบัญชีรายชื่อร่วม 190 คน คุณคิดผิดแล้ว”

“คนอย่างทักษิณไม่ง่ายถึงเพียงนั้น เขาวนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่กับคนไทย โดยเฉพาะในภาคอีสานมาโดยตลอดไม่เคยขาดจากกันเลย”

“แถมคนอีสานยังเคารพในเรื่องความกตัญญูเป็นหลัก แค่เขาขึ้นป้ายว่า ทรยศ อกตัญญู แค่นี้ก็ตายแล้ว ยิ่งตอนนี้เขาโหมหนักในทุกๆ ด้าน ยิ่งด้านการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์เขาไม่ลังเลที่จะทำเลย”

“เอาง่ายๆ เคยเห็นอดีตผู้นำคนไหนบ้างทำอย่างเขา เดี๋ยวโฟนอินเข้าร้านก๋วยเตี๋ยว เดี๋ยวโฟนอินไปอวยพรวันเกิดกำนันคนโน้น ผู้ใหญ่คนนี้ ผู้สมัครคนนั้น โทร.ตลอดไม่เคยว่าง ไม่เคยห่าง เขาเล่นการเมืองแบบละครหลังข่าว แบบนิยาย ซึ่งตรงกับอุปนิสัยคนไทยส่วนใหญ่ในต่างจังหวัด โอ๊ยแค่บอกว่า ถูกกลั่นแกล้ง ถูกรังแกเท่านั้นเอง ชาวบ้านก็ร้องห่มร้องไห้เป็นแถว...แค่นี้เองก็เสร็จเขาหมด”

“พอมองออกไหมว่า บ้านเมืองวันนี้เป็นอย่างไร แทบไม่มีขื่อไม่มีแปกันแล้ว สู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายไปข้างหนึ่ง ทุกรูปแบบไม่สนวิธีการ” สุวัจน์ร่ายยาวก่อนลงท้ายส่ายหัวทำท่าเหนื่อยใจ

ในวันที่สุวัจน์ติดคุก 111 แล้วขึ้นนั่งบนอัฒจันทร์คนดู เขาพบว่า การเมืองตอนนี้มีทักษิณเป็นเงื่อนไขสำคัญ โดยคนคนนี้สามารถสร้างบรรยากาศการเมืองให้ไหลไปในทิศทางที่เขากำหนดเกมได้ไม่ยากเลย และดูเหมือนว่าท่ามกลางฝุ่นการเมืองฟุ้งกระจาย สุวัจน์ยังพบอีกว่า หลังฝนซา ฟ้าเมืองไทยจะปกคลุมด้วยอิทธิพลของทักษิณ

“เผลอเขาอาจจะกลับมาผงาด และพรรคของเขาจะกำชัยชนะ...ถ้าลองยุบสภาและเลือกตั้งเร็วๆ นี้”

“เขาเชี่ยวชาญภาคอีสานชนิดที่คุณเนวินอาจไม่ทันเกม อย่าลืมว่า ถ้าใครกวาดอีสานได้หมด คนนั้นได้เสียงข้างมาก”

แต่ก็อีกนั่นละ...วิศวะนักการเมืองผู้ผูกขาดพื้นที่โคราชคนนี้บอกว่า เมื่อโครงสร้างทางสังคมการเมืองจัดการกับระบอบทักษิณมาแล้วถึงสองครั้งสองครา เรียกว่า อาวุธยุทโธปกรณ์ทั้งหมดที่มีในคลังแสงการเมืองไทยได้ถูกนำมาใช้จนหมดสิ้นแล้ว ถ้าพรรคของทักษิณชนะในสนามเลือกตั้งอีกละ? จะทำอย่างไรต่อไป?...ตรงนี้คือจุดที่สุวัจน์บอกว่า “น่ากลัว...แล้วประชาชนฝ่ายที่ไม่ปรารถนาจะเห็นภาพอย่างนี้ละจะทำอย่างไร? พอมองออกไหมว่า เกมการเมืองในวันนี้ คือ คำตอบของการเมืองในวันข้างหน้าที่น่ากลัวและน่าหวั่นใจมากแค่ไหน”

เพราะฉะนั้น เสือซุ่มอย่างสุวัจน์จึงขอถอยฉาก แต่ลาทีมิใช่ลาก่อนกับการเมืองไทยในวันนี้ วันที่พระอาทิตย์ขึ้นสาดแสงร้อนแรงเหนือฝากฟ้า “บุรีรัมย์”

คุยกับสุวัจน์ ลิปตพัลลภเสร็จก็ให้ได้คิดว่า การก่นโทษที่ทุ่มเทโหมทับให้กับ “ทักษิณ” คนเดียวคงไม่ถูกนัก เพราะผู้มีส่วนรับผิดชอบทุกคนในประเทศต้องร่วมกันรับผิดชอบด้วย

แม้บางคนจะอ้างว่าไม่ได้ทำ แต่การยืนดูการข่มขืนประเทศครั้งโหดเหี้ยมอย่างหน้าตาเฉย โดยไม่ขัดขวางท้วงติงก็เท่ากับ “สมรู้ร่วมคิด”

ยิ่งเดินหน้าเอาบรรดาศักดิ์สูงเกียรติ “ตบเท้า” เข้าไปสิงสู่ในพรรคของทักษิณ ที่เต็มไปด้วยกองทัพเสื้อแดงป่วนบ้านเผาเมือง ยิ่งต้องเอาให้หนัก ในฐานะร่วมเรือโจรปล้นสะดมประเทศไทยในวันแร้นแค้นแสนสาหัส

โดยเฉพาะพวก “ข้าฯ ในพระบาทฯ” ปากพล่อยบางคน ที่พูดถึง “อำนาจนอกระบบ” และ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญแห่งสี่เสาเทเวศร์” อย่างสาดเสียเทเสียและพร้อมตายแทนได้ หากสองอำนาจที่กล่าวไว้ ทำลายทักษิณและพรรคเพื่อไทย

อุแม่เจ้า...พุทโธ ธัมโม สังโฆ...เงินจ้างผีชราแต่งชุดเขียวโม่แป้ง-ปล่อยข่าวลือ ทุบหุ้น ขายชาติและจาบจ้วงได้ถึงเพียงนี้เลยหรือนี่

อกสั่นขวัญแขวนแทนนักโทษดูไบเสียจริงเทียว มีเงินอย่างเดียวไม่พอนะเนี่ย ต้องโง่ด้วยถึงมีเมียปากหนัก-น้องรักปากเสีย บริวารจอมเลีย และเพื่อนปากหมาพาเสียผู้เสียคนได้ถึงเพียงนี้.

กำลังโหลดความคิดเห็น